สกุลเงินยูโรร่วงลงอย่างหนักเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (22 มี.ค.) หลังเกิดเหตุเหตุระเบิดหลายครั้งในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ซึ่งส่งผลให้มีประชาชนเสียชีวิตมากกว่า 30 คน
เงินยูโรอ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.1212 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.1248 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ปรับตัวลงสู่ระดับ 1.4201 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.4396 ดอลลาร์สหรัฐ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นที่ระดับ 0.7615 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7595 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบเยนที่ระดับ 112.41 เยน จากระดับ 111.86 เยน และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9730 ฟรังก์ จากระดับ 0.9697 ฟรังก์
สกุลเงินยูโรได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเหตุวินาศกรรมในกรุงบรัสเซลส์ของเบลเยียม โดยเมื่อช่วงเย็นวานนี้ตามเวลาไทย ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นที่สนามบินซาเวนเทมและสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินในกรุงบรัสเซลส์ เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 30 คนและบาดเจ็บอีกจำนวนมาก
เหตุระเบิดดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน หลังจากที่เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวนายซาเลห์ อับเดสลาม ผู้ต้องสงสัยที่เป็นแกนนำก่อเหตุโจมตีกลางกรุงปารีสในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมา โดยเขาถูกรวบตัวที่กรุงบรัสเซลส์
รายงานระบุว่า กลุ่มรัฐอิสลาม (IS) กลุ่มรัฐอิสลาม (IS) ได้ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์โจมตีในครั้งนี้ โดยระบุว่านักรบของ IS ได้ระเบิดตัวเองด้วยการจุดชนวนระเบิดบนเข็มขัดพลีชีพ และยังได้ทำการระเบิดพลีชีพในสถานีรถไฟใต้ดินเช่นกัน
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาริชมอนด์ เปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า ภาคการผลิตในภูมิภาคแอตแลนติคตอนล่างมีการขยายตัวอย่างมากในเดือนมี.ค. โดยแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 6 ปี
ทั้งนี้ เฟดสาขาริชมอนด์ระบุว่า ดัชนีภาวะธุรกิจของภาคการผลิตดีดตัวสู่ระดับ +22 ในเดือนมี.ค. หลังจากอยู่ที่ระดับ -4 ในเดือนก.พ. นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ รวมถึงยอดขายบ้านใหม่เดือนก.พ., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์, ยอดส่งซื้อสินค้าคงทนเดือนเดือนก.พ. และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนมี.ค.โดยมาร์กิต, การประมาณการครั้งสุดท้ายของตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/2558 และการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ไตรมาส 4/2558