สกุลเงินปอนด์พุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (3 พ.ย.) หลังศาลสูงสุดของสหราชอาณาจักรมีคำวินิจฉัยว่า รัฐบาลของสหราชอาณาจักรจะต้องขอการอนุมัติจากรัฐสภาเพื่อเริ่มต้นกระบวนการแยกตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) ก่อนที่รัฐบาลจะสามารถดำเนินการได้
เงินปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับ 1.2460 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.2294 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินดอลลาร์ออสเตรเลียเพิ่มขึ้นแตะระดับ 0.7680 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7661 ดอลลาร์สหรัฐ และเงินยูโรแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.1104 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.1096 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยนที่ระดับ 103.00 เยน จากระดับ 103.28 เยน และเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9744 ฟรังก์ จากระดับ 0.9728 ฟรังก์ ในขณะที่ขยับขึ้นเมื่อเทียบดอลลาร์แคนาดาที่ระดับ 1.3400 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3388 ดอลลาร์แคนาดา
สกุลเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นหลังจากศาลสูงสุดของสหราชอาณาจักรมีคำวินิจฉัยเมื่อวานนี้ว่า รัฐบาลของสหราชอาณาจักรจะต้องขอการอนุมัติจากรัฐสภาเพื่อเริ่มต้นกระบวนการแยกตัวจากสหภาพยุโรป ก่อนที่รัฐบาลจะสามารถดำเนินการได้
คำวินิจฉัยของศาลดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งระบุก่อนหน้านี้ว่า รัฐบาลสามารถประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนของสหภาพยุโรป (EU) เพื่อเริ่มต้นกระบวนการแยกตัวออกจาก EU ได้ โดยไม่ต้องขอการอนุมัติจากรัฐสภา
ทั้งนี้ ศาลได้กำหนดให้รัฐบาลสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อคำวินิจฉัยดังกล่าวได้ในวันที่ 5-8 ธ.ค.
ส่วนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลการเลือกตั้งสหรัฐ หลังจากผลสำรวจระบุว่า คะแนนนิยมของนายทรัมป์เริ่มตีตื้นเข้าใกล้คู่แข่งอย่างนางฮิลลารี โดยคะแนนนิยมของนางฮิลลารีเริ่มแผ่วลงนับตั้งแต่มีรายงานว่า สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (FBI) เตรียมรื้อคดีการใช้เซิร์ฟเวอร์อีเมล์ส่วนตัวของนางฮิลลารี ขณะที่เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดการเลือกตั้งในวันที่ 8 พ.ย.
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐ ซึ่งกระทรวงแรงงานสหรัฐจะเปิดเผยในวันนี้ เวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย โดยตัวเลขดังกล่าวจะบ่งชี้แนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ของเฟดในรอบ 10 ปี
ด้านนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนต.ค.จะเพิ่มขึ้น 175,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราการว่างงานจะลดลงสู่ระดับ 4.9% จากเดิมที่ระดับ 5.0%