สกุลเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลเงินยูโร ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (5 ธ.ค.) โดยดอลลาร์ได้รับแรงกดดันจากความผันผวนของดัชนีภาคบริการของสหรัฐ
เงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0775 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0659 ดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่เงินปอนด์เพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.2724 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.2712 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเงินดอลลาร์ออสเตรเลียเพิ่มขึ้นแตะระดับ 0.7481 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7447 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเยนที่ระดับ 113.75 เยน จากระดับ 113.74 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบฟรังก์สวิส ที่ระดับ 1.0061 ฟรังก์ จากระดับ 1.0108 ฟรังก์
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงกดดันจากความผันผวนของดัชนีภาคบริการของสหรัฐ โดยผลสำรวจของสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) พบว่า ดัชนีภาคบริการของ ISM ขยายตัวที่ระดับ 57.2 ในเดือนพ.ย. พุ่งขึ้นจากระดับ 54.8 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นการขยายตัวในอัตราที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.ปีที่แล้ว หรือในรอบ 13 เดือน รวมทั้งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 55.4
ขณะที่บริษัทไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการของสหรัฐ อยู่ที่ระดับ 54.6 ในเดือนพ.ย. ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ 54.7 ต่ำกว่าระดับ 54.8 ในเดือนต.ค. และต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 54.8 เช่นกัน
ส่วนยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจากนายกรัฐมนตรีมัตเตโอ เรนซี ประกาศลาออกจากตำแหน่งตามที่เคยประกาศไว้ว่าเขาจะลาออก หากประชาชนส่วนใหญ่ลงประชามติคัดค้านการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ หรือโหวต NO โดยรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อลดทอนอำนาจของวุฒิสภา ซึ่งจะทำให้การผ่านกฎหมายเป็นไปได้ง่ายขึ้น อันจะส่งผลให้ประเทศสามารถแข่งขันได้มากขึ้น
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจสร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจอิตาลี และอาจเป็นชนวนเหตุให้เกิดความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับสามในยูโรโซน และเป็นอันดับสี่ในยุโรป
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนต.ค. และผลิตภาพ-ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยไตรมาส 3/2559