สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (4 ม.ค.) หลังจากสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนทะยานขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 3 ปี ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนแรงลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ แม้รายงานการประชุมประจำเดือนธ.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวดเร็วขึ้น เพื่อรับมือกับภาวะเงินเฟ้อที่เป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นการคลังของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ
ยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0463 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0410 ดอลลาร์ ในขณะที่ปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะ 1.2309 ดอลลาร์จากระดับ 1.2235 ดอลลาร์ และออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นที่ระดับ 0.7264 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7222 ดอลลาร์
ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยน ที่ระดับ 117.56 เยน จากระดับ 117.65 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 1.0232 ฟรังก์สวิส จากระดับ 1.0275 ฟรังก์สวิส
สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจากยูโรสแตทรายงานว่า อัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนพุ่งขึ้น 1.1% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย. 2013 จากระดับ 0.6% ในเดือนพ.ย. โดยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวได้รับแรงหนุนจากการทะยานขึ้นของราคาพลังงาน
ส่วนดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ แม้รายงานการประชุมเดือนธ.ค.ของเฟดระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มขยายตัวรวดเร็วขึ้นเนื่องจากมาตรการกระตุ้นการคลังของนายทรัมป์ ซึ่งอาจทำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยรวดเร็วขึ้นเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ โดยในวันนี้จะมีการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนธ.ค.จาก ADP, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนธ.ค.โดยมาร์กิต และดัชนีภาคบริการเดือนธ.ค.โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)
ส่วนในวันพรุ่งนี้ ทางการสหรัฐจะเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรเดือนธ.ค., ยอดนำเข้า,ส่งออก และดุลการค้าเดือนพ.ย. และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนพ.ย.