ค่าเงินปอนด์ดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (9 ม.ค.) หลังจากที่นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวอย่างชัดเจนว่า อังกฤษพร้อมถอนตัวออกจากตลาดร่วมยุโรป เพื่อให้รัฐบาลอังกฤษยังคงมีอำนาจในการควบคุมการเข้าเมืองของชาวต่างชาติ นอกจากนี้ นายกฯอังกฤษยังระบุด้วยว่า เธอเตรียมจะเปิดเผยยุทธศาสตร์ในการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ภายในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้
ปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2164 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2266 ดอลลาร์ ในขณะที่ยูโรแข็งค่าขึ้นแตะ 1.0570 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0561 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นที่ระดับ 0.7364 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7296 ดอลลาร์
ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยน ที่ระดับ 116.13 เยน จากระดับ 117.05 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 1.0154 ฟรังก์สวิส จากระดับ 1.0175 ฟรังก์สวิส
เงินปอนด์ได้รับแรงกดดันภายหลังจากนางเมย์กล่าวอย่างชัดเจนในการให้สัมภาษณ์ต่อสำนักข่าวสกายนิวส์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า เธอจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกต่อการที่รัฐบาลอังกฤษยังคงมีอำนาจควบคุมการเข้าเมืองของชาวต่างชาติ มากกว่าการให้ความสำคัญต่อการที่อังกฤษสามารถเข้าสู่ตลาดร่วมยุโรป ทันทีที่อังกฤษถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (EU) ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความวิตกว่า นางเมย์จะผลักดันกระบวนการ Brexit ด้วยวิธีการที่ไม่ละมุนละม่อม (hard Brexit)
เมื่อเวลา 17.48 น.เมื่อวานนี้ตามเวลาไทย ปอนด์ดิ่งลง 1.01% สู่ระดับ 1.2156 ดอลลาร์ โดยหลุดระดับ 1.2200 ดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นแนวรับสำคัญของปอนด์ โดยแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปลายเดือนต.ค.ปีที่แล้ว
ที่ผ่านมา ภาคการเงินของอังกฤษได้พยายามรณรงค์ให้รัฐบาลยังคงรักษาสถานะของอังกฤษในการเข้าสู่ตลาดร่วมยุโรปต่อไป เนื่องจากวิตกว่า หากอังกฤษถูกตัดขาดจากตลาดร่วมดังกล่าว จะทำให้บรรดาธนาคารและผู้จัดการกองทุนพากันถอนตัวออกจากอังกฤษเพื่อย้ายฐานเข้าสู่ยุโรป
ทั้งนี้ ตลาดร่วมยุโรปเกิดจากข้อตกลงการค้าเสรีภายใน EU และถือว่ามีความสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะรถยนต์
นอกจากนี้ นางเมย์ยังย้ำจุดยืนว่าอังกฤษจะประกาศใช้มาตรา 50 ตามสนธิสัญญาลิสบอน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ประเทศสมาชิกจะถอนตัวออกจาก EU ในกรอบเวลา 2 ปี โดยอังกฤษจะเริ่มดำเนินการภายในเดือนมี.ค. ปีนี้
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนพ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนธ.ค., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค., ยอดค้าปลีกเดือนธ.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ย. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน