สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและเงินเยน ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (24 ม.ค.) หลังจากมีข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่เงินปอนด์ดีดตัวขึ้นหลังจากศาลฎีกาอังกฤษวินิจฉัยว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษไม่สามารถประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนของสหภาพยุโรป เพื่อเริ่มต้นกระบวนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ก่อนที่จะขอความเห็นชอบจากรัฐสภา
เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.2504 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับของวันจันทร์ที่ 1.2494 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7577 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7564 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนยูโรอ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.0728 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0739 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 113.87 เยน จากระดับ 113.03 เยน และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.0014 ฟรังค์ จากระดับ 0.9990 ฟรังค์
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐ โดยบริษัทไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนม.ค.ของสหรัฐ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 55.1 จากระดับของเดือนธ.ค.ที่ 54.3
ด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ตลอดปี 2559 ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.45 ล้านยูนิต จากระดับ 5.25 ล้านยูนิตในปี 2558
ส่วนเงินปอนดพุ่งขึ้นหลังจากศาลฎีกาของอังกฤษได้วินิจฉัยว่า นางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ไม่สามารถประกาศใช้มาตรา 50 ของสนธิสัญญาลิสบอนของสหภาพยุโรป เพื่อเริ่มต้นกระบวนการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป โดยไม่ต้องขอความเห็นชอบจากรัฐสภาได้
ทั้งนี้ ศาลฎีกาได้วินิจฉัยให้รัฐบาลอังกฤษต้องขออนุมัติรัฐสภาก่อนที่จะประกาศใช้มาตรา 50 ด้วยคะแนน 8 เสียง ต่อ 3 เสียง ซึ่งคำวินิจฉัยดังกล่าวทำให้รัฐสภามีโอกาสที่จะลดทอนแผนการถอนตัวจากสหภาพยุโรป
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึง ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4/2559, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนธ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนม.ค. , ยอดขายบ้านใหม่เดือนธ.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน