สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (7 ก.ย.) ภายหลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงนโยบายการเงินตามคาดในการประชุมเมื่อวานนี้ ขณะที่นายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB เปิดเผยว่า คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ ECB จะพิจารณาเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ พร้อมกับแย้มว่าการตัดสินใจดังกล่าวอาจมีขึ้นอย่างเร็วที่สุดภายในเดือนต.ค.นี้
ยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ที่ระดับ 1.2007 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1923 ดอลลาร์ ในขณะที่ปอนด์แข็งค่าแตะ 1.3079 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3049 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นที่ระดับ 0.8036 ดอลลาร์ จากระดับ 0.8002 ดอลลาร์
ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยน ที่ระดับ 108.57 เยน จากระดับ 109.32 เยน ทั้งอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9520 ฟรังก์สวิส จากระดับ 0.9566 ฟรังก์สวิส และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2135 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2222 ดอลลาร์
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน 0.68% สู่ระดับ 91.664 เมื่อคืนนี้
ค่าเงินยูโรพุ่งขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐเมื่อคืนนี้ ภายหลังจากที่ประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ขณะเดียวกัน ECB ได้ประกาศคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ระดับ 6 หมื่นล้านยูโร/เดือน จนถึงเดือนธ.ค. อย่างไรก็ดี ECB ระบุว่าอาจมีการเพิ่มวงเงิน QE หรือขยายเวลาในการใช้มาตรการ QE หากแนวโน้มเศรษฐกิจย่ำแย่ลง
นายดรากีกล่าวในการแถลงข่าวหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินของ ECB ว่า ECB จะตัดสินใจเกี่ยวกับวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงปีนี้ นอกจากนี้เขายังระบุด้วยว่า อัตราเงินเฟ้อของยูโรโซนยังคงอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ ECB ดำเนินนโยบาย QE ต่อไป ขณะที่เงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในระยะกลาง
ขณะที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดาในการซื้อขายเมื่อคืนนี้ ภายหลังจากธนาคารกลางแคนาดามีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสู่ระดับ 1%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อวานนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกพุ่งขึ้น 62,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 298,000 ราย ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2015 โดยสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 241,000 ราย