สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดเงินนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (8 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนได้ปรับลดการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาจากการแสดงความเห็นของเจ้าหน้าที่เฟดหลายคนที่แนะนำให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 107.80 เยน จากระดับ 108.57 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9452 ฟรังก์ จากระดับ 0.9520 ฟรังก์
ส่วนค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.2028 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2007 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.3208 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3079 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.8063 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8036 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์อ่อนค่าลงเนื่องจากนักลงทุนปรับลดคาดการณ์การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ โดย CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสเพียง 31% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้
นายวิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก กล่าวว่า เฟดควรจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะเดียวกัน เขาคาดว่าอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำ และคาดว่างบดุลของเฟดจะลดลงสู่ระดับ 2.4-3.5 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงต้นทศวรรษหน้า จากระดับ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน
ทางด้านนางลอเรตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ กล่าวว่า เฟดควรยึดมั่นตามแผนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ระบบการเงินมีความสมดุล และเศรษฐกิจไม่เผชิญภาวะร้อนแรงเกินไป
นอกจากนี้ นางลาเอล เบรนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการเฟดกล่าวว่า ขณะนี้เงินเฟ้อในสหรัฐกำลังปรับตัวลง และอยู่ต่ำกว่าเป้าหมายของเฟดที่ 2% ดังนั้น เฟดจึงควรใช้ความระมัดระวังในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จนกว่าจะมีความมั่นใจว่าราคากำลังมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น
สหรัฐข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดและมีผลต่อความเคลื่อนไหวในตลาดเงินนั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งประจำเดือนก.ค.เพิ่มขึ้น 0.6% โดยมากกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.4%
ทั้งนี้ สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งดีดตัวขึ้นใกล้เคียงกับระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนที่ทำไว้ในเดือนมิ.ย.