สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (15 ก.ย.) หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งรวมถึงยอดค้าปลีกที่ปรับตัวลงสวนทางกับการคาดการณ์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นหลังจากเจ้าหน้าที่ของธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ส่งสัญญาณว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 110.89 เยน จากระดับ 110.53 เยน ขณะที่อ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9600 ฟรังก์ จากระดับ 0.9642 ฟรังก์
เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.3571 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3400 ดอลลาร์ ขณะที่ยูโรแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.1939 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1918 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.8000 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7990 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์ได้รับแรงกดดันจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐซึ่งมีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกร่วงลง 0.2% ในเดือนส.ค. สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.1%
ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐลดลง 0.9% ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นการร่วงลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค.2009 และเป็นการปรับตัวลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมจะร่วงลงต่อไปในเดือนก.ย. โดยได้รับอิทธิพลจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ และเออร์มา
นอกจากนี้ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐลดลงสู่ระดับ 95.3 ในเดือนก.ย. โดยต่ำกว่าระดับ 97.6 ในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ หลังพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ และเออร์มาพัดถล่มสหรัฐ
เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นหลังจากนายเกิร์ทแจน ลีจ กรรมการกำหนดนโยบายการเงินของ BoE ซึ่งกล่าวว่า การขยายตัวของค่าแรง และการใช้จ่ายของผู้บริโภคได้เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่เศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่งก็ได้บ่งชี้ถึงความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยนายลีจกล่าวว่า เวลาที่เหมาะสมสำหรับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอาจจะมาถึงอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า
นักลงทุนจับตาการประชุมเฟดในวันที่ 19-20 ก.ย. โดยคาดว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมดังกล่าว แต่จะประกาศปรับลดงบดุลจากระดับ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสเพิ่มขึ้นถึง 52.9% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค.นี้