สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักอื่นๆ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (29 ก.ย.) หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญนั้น ปรับตัวเพิ่มขึ้นในเดือนส.ค.
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเยน ที่ระดับ 112.48 เยน จากระดับ 112.38 เยน ขณะที่อ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9688 ฟรังก์ จากระดับ 0.9702 ฟรังก์
ส่วนยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1809 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1784 ดอลลาร์ ในขณะที่ปอนด์อ่อนค่าลงแตะ 1.3393 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3446 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 0.7841 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7854 ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.04% แตะที่ 93.123 เมื่อคืนนี้
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนส.ค. โดยเพิ่มขึ้นในอัตราดังกล่าวเป็นเวลา 4 เดือนติดต่อกัน
อย่างไรก็ตาม ดัชนี PCE พื้นฐาน ยังคงอยู่ห่างไกลจากระดับ 2.0% ซึ่งเป็นระดับเป้าหมายเงินเฟ้อของเฟด
นอกจากนี้ กระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธ.ค. และความเป็นไปได้ที่แผนปฏิรูปภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ อาจจะผ่านการรับรองจากสภาคองเกรส ยังส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าด้วย
ตลาดการเงินจับตาความเคลื่อนไหวระหว่างปธน.ทรัมป์และคณะบริหารของเฟด หลังจากมีรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้พบปะกับนายเควิน วอร์ช ซึ่งเป็นอดีตผู้ว่าการเฟด ที่ทำเนียบขาว เพื่อหารือเกี่ยวกับการแต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งประธานเฟด สืบต่อจากนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟดคนปัจจุบัน
ทั้งนี้ นายวอร์ชเป็นผู้ว่าการเฟดในปี 2006-2011 และได้ลาออกจากคณะกรรมการเฟด เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับโครงการซื้อพันธบัตรของเฟดตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) โดยนายวอร์ชถือเป็นหนึ่งในตัวเก็งที่จะได้ดำรงตำแหน่งประธานเฟด หลังจากที่วาระการดำรงตำแหน่งของนางเยลเลนสิ้นสุดลงในเดือนก.พ.ปีหน้า