สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (13 ต.ค.) หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการ
ดอลลาร์อ่อนค่าเทียบเยนแตะที่ 111.87 เยน จากระดับ 112.20 เยน และอ่อนค่าเทียบฟรังก์สวิสที่ 0.9744 ฟรังก์ จาก 0.9748 ฟรังก์
ยูโรอ่อนค่าเทียบดอลลาร์ที่ระดับ 1.1819 ดอลลาร์ จาก 1.1843 ดอลลาร์ ส่วนปอนด์แข็งค่าเทียบดอลลาร์แตะ 1.3291 ดอลลาร์ จาก 1.3281 ดอลลาร์ ขณะที่ดอลลาร์ออสเตรเลียก็แข็งค่าเทียบดอลลาร์สหรัฐที่ 0.7885 ดอลลาร์สหรัฐ จาก 0.7831 ดอลลาร์สหรัฐ
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้น 0.5% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะทะยานขึ้น 0.6% หลังจากดีดตัวขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค.
ดัชนี CPI ได้รับแรงหนุนจากการพุ่งขึ้น 13.1% ของราคาน้ำมันเบนซิน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนม.ค.2552 หลังจากพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์พัดถล่มรัฐเท็กซัสของสหรัฐ จนทำให้โรงกลั่นน้ำมันจำนวนมากต้องปิดการดำเนินงานชั่วคราว
ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกพุ่งขึ้น 1.6% ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2558 หลังจากขยับลง 0.1% ในเดือนส.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่ายอดค้าปลีกจะเพิ่มขึ้น 1.7% ในเดือนก.ย.
ยอดค้าปลีกที่ทะยานขึ้นในเดือนก.ย. ได้รับผลบวกจากการฟื้นฟูบูรณะเขตประสบภัยพายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์และเออร์มา ซึ่งทำให้มีความต้องการซื้อวัสดุก่อสร้างและรถยนต์ นอกจากนั้นยังได้แรงหนุนจากรายได้ของสถานีบริการน้ำมันที่พุ่งขึ้น หลังราคาน้ำมันดีดตัวอันเนื่องมาจากภาวะขาดแคลนพลังงานหลังพายุเฮอร์ริเคนถล่ม
ขณะเดียวกัน ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 101.1 ในเดือนต.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี โดยสูงกว่าระดับ 95.3 ในเดือนก.ย. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
นายริชาร์ด เคอร์ติน หัวหน้านักวิเคราะห์สำหรับการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภค กล่าวว่า การใช้จ่ายของผู้บริโภคมีแนวโน้มขยายตัวไปจนถึงกลางปีหน้า ซึ่งจะเป็นการขยายตัวยาวนานที่สุดนับตั้งแต่กลางทศวรรษ 1800