สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินสกุลหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมือคืนนี้ (22 ธ.ค.) ด้วยแรงหนุนจากข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งของสหรัฐซึ่งมีการเปิดเผยเมื่อวานนี้
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1851 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1871 ดอลลาร์ ในขณะที่ปอนด์อ่อนค่าลงแตะ 1.3372 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3381 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 0.7718 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7706 ดอลลาร์
ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเยน ที่ระดับ 113.31 เยน จากระดับ 113.35 เยน แต่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9901 ฟรังก์สวิส จากระดับ 0.9884 ฟรังก์สวิส
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.06% สู่ระดับ 93.336 เมื่อคืนนี้
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น หลังกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค.
เมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนพ.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือนต.ค.
ขณะที่การใช้จ่ายผู้บริโภคของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนพ.ย. สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนต.ค.
หากมีการปรับค่าตามเงินเฟ้อ การใช้จ่ายของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. หลังจากทรงตัวในเดือนต.ค.
ส่วนรายได้ส่วนบุคคลของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนพ.ย. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนต.ค.
ขณะที่ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพิ่มขึ้น 1.3% ในเดือนพ.ย. หลังจากลดลง 0.4% ในเดือนต.ค.
และยอดขายบ้านใหม่ในสหรัฐพุ่งขึ้นสวนทางคาดการณ์ในเดือนพ.ย. โดยดีดตัวขึ้น 17.5% เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 733,000 ยูนิต ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค.2550 หลังจากแตะระดับ 624,000 ยูนิตในเดือนต.ค.
ตลาดเงินยังได้แรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐได้ลงนามรับรองร่างกฎหมายปฏิรูปภาษีวงเงิน 1.5 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อวานนี้ หลังจากสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติเห็นชอบต่อร่างกฎหมายดังกล่าวด้วยคะแนนเสียง 224 ต่อ 201 เสียง และวุฒิสภาลงมติรับรองด้วยคะแนนเสียง 51 ต่อ 48 เสียง