ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลัก หลังบอนด์ยีลด์สหรัฐพุ่ง,ตัวเลขเงินเฟ้อขยับขึ้น

ข่าวหุ้น-การเงิน Tuesday January 30, 2018 07:44 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (29 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่พุ่งขึ้นเมื่อคืนนี้ รวมทั้งรายงานที่ว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญนั้น ปรับตัวสูงขึ้นในเดือนธ.ค.

ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 108.95 เยน จากระดับ 108.67 เยน และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9370 ฟรังก์ จากระดับ 0.9353 ฟรังก์

ยูโรอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.2387 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2421 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะระดับ 1.4074 ดอลลาร์ จากระดับ 1.4157 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะระดับ 0.8099 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8119 ดอลลาร์สหรัฐ

ดอลลาร์สหรัฐได้รับปัจจัยหนุนหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 10 ปี พุ่งขึ้นสู่ระดับ 2.716% เมื่อคืนนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2557 ส่วนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลประเภทอายุ 30 ปี ดีดตัวขึ้นสู่ระดับ 2.954%

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 10 ปี พุ่งทะลุระดับ 2.7% เมื่อคืนนี้ จะเป็นการปูทางไปสู่ระดับ 2.8% ต่อไป ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภทอายุ 30 ปี มีแนวโน้มดีดตัวสู่ระดับ 3.0%

ขณะที่ตลาดการเงินได้เพิ่มการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ โดย CME Group ระบุว่า จากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 26% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 4 ครั้งในปีนี้ โดยเพิ่มขึ้นจากระดับ 23% ในวันศุกร์ และ 10% ในเดือนที่แล้ว

นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้รับแรงหนุนหลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนธ.ค. หลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือนพ.ย.

นักลงทุนจับตาการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในวันที่ 30-31 ม.ค.นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ หลังจากที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.25% สู่ระดับ 1.25-1.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2560

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีกำหนดแถลงนโยบายประจำปี (State of the Union) ต่อสภาคองเกรสในวันที่ 30 ม.ค.เวลา 21.00 น.ตามเวลาสหรัฐ หรือตรงกับช่วงเช้าของวันที่ 31 ม.ค.เวลา 09.00 น.ตามเวลาไทย โดยหัวข้อการกล่าวสุนทรพจน์ต่อสภาคองเกรสของปธน.ทรัมป์คือ "การสร้างอเมริกาที่ปลอดภัย แข็งแกร่ง และน่าภาคภูมิใจ" โดยจะเน้นหนักใน 5 ประเด็นหลัก ซึ่งได้แก่ การจ้างงานและเศรษฐกิจ, การก่อสร้างโครงการพื้นฐานของประเทศ, นโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพ, การค้า และความมั่นคงแห่งชาติ

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่นักลงทุนจับตาในสัปดาห์นี้ได้แก่ ดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ย.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์ส, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จาก Conference Board, ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนม.ค.จาก ADP, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือนธ.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนม.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคบริการเดือนม.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM), การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างเดือนธ.ค., ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนม.ค., ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนธ.ค.


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ