ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (21 ก.พ.) หลังจากรายงานการประชุมประจำเดือนม.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐจะดีดตัวขึ้นในปีนี้ ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เฟดเดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ยต่อไป
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 107.79 เยน จากระดับ 107.29 เยน แต่ขยับลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9348 ฟรังก์ จากระดับ 0.9359 ฟรังก์
ยูโรอ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.2297 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2337 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.3929 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3988 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7816 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7879 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นหลังจากคณะกรรมการเฟดเปิดเผยรายงานการประชุมนโยบายการเงินของวันที่ 30-31 ม.ค. เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า กรรมการเฟดส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า ความแข็งแกร่งของแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะใกล้นี้ ทำให้เฟดมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่า การเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในลักษณะค่อยเป็นค่อยไปนั้น ถือเป็นการดำเนินการที่เหมาะสม
รายงานการประชุมยังระบุด้วยว่า ข้อมูลเงินเฟ้อที่กรรมการเฟดได้รับมา ประกอบกับข้อมูลที่บ่งชี้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องนั้น ได้ช่วยสนับสนุนมุมมองที่ว่า อัตราเงินเฟ้อจะดีดตัวขึ้นในปี 2561 โดยกรรมการเฟดเกือบทุกคนคาดว่า ในระยะกลางนี้ อัตราเงินเฟ้อจะปรับตัวขึ้นสู่เป้าหมายของเฟดที่ระดับ 2% เนื่องจากเศรษฐกิจมีการขยายตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้ และตลาดแรงงานยังคงแข็งแกร่ง
ส่วนเงินปอนด์ได้รับแรงกดดันจากรายงานของสำนักงานสถิติแห่งชาติของอังกฤษ (ONS) ซึ่งระบุว่า อัตราว่างงานในอังกฤษเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.4% ในไตรมาส 4 ของปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี จากระดับ 4.3% ในไตรมาส 3 ส่วนอัตราค่าจ้างเพิ่มขึ้น 2.5% ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาส 3 แต่ยังคงอยู่ต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ระดับ 3.1%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิต และภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ พุ่งขึ้นสู่ระดับ 55.9 ในเดือนก.พ. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 27 เดือน จากระดับ 53.8 ในเดือนม.ค.
ทางด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองร่วงลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 ในเดือนม.ค. สวนทางกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ เนื่องจากภาวะขาดแคลนบ้านได้ส่งผลให้ราคาบ้านแพงขึ้น