ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (1 มี.ค.) หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐ ประกาศว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมในสัปดาห์หน้า ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้เกิดความวิตกกังวลว่า นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐอาจก่อให้เกิดสงครามการค้า
ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 106.23 เยน จากระดับ 106.72 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9420 ฟรังก์ จากระดับ 0.9442 ฟรังก์
ยูโรแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.2254 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2202 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.3770 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3769 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะระดับ 0.7760 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7778 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์ได้รับแรงกดดันหลังจากปธน.ทรัมป์ประกาศว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และอลูมิเนียม 10% ในสัปดาห์หน้า โดยมาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะปกป้องอุตสาหกรรมของสหรัฐ
การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ปธน.ทรัมป์ได้ประชุมร่วมกับกลุ่มผู้บริหารธุรกิจที่ทำเนียบขาวเมื่อวานนี้ตามเวลาสหรัฐ ซึ่งรวมถึงผู้บริหารของบริษัทยูเอส สตีล คอร์ป และเซ็นจูรี อลูมิเนียม โดยทรัมป์เชื่อว่า มาตรการดังกล่าวจะช่วยปกป้องอุตสาหกรรมของสหรัฐ และจะช่วยให้ภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง
นักวิเคราะห์กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวของทรัมป์อาจส่งผลให้เกิดสงครามทางการค้า และจะกลับมาสร้างความเสียหายต่อผู้ผลิตของสหรัฐเอง เนื่องจากบริษัทสหรัฐจะต้องเผชิญกับการตอบโต้จากบริษัทคู่แข่งต่างชาติ นอกจากนี้ มาตรการดังกล่าวจะผลักดันให้ราคาสินค้าและการบริการปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้บริโภคของสหรัฐ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ไอเอชเอส มาร์กิต เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) สำหรับภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 55.3 ในเดือนก.พ. จากระดับ 55.5 ในเดือนม.ค. ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า การใช้จ่ายด้านการก่อสร้างทรงตัวในเดือนม.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.8% ในเดือนธ.ค.
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.ปีที่แล้ว และกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 10,000 ราย สู่ระดับ 210,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2512