ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวผันผวนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (13 เม.ย.) หลังจากมีรายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐปรับตัวลงในเดือนเม.ย. ขณะที่นักลงทุนจับตาสถานการณ์ตึงเครียดในซีเรียอย่างใกล้ชิด
ยูโรแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2334 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2330 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.4243 ดอลลาร์ จากระดับ 1.4226 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7761 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7756 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 107.46 เยน จากระดับ 107.20 เยน และแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9622 ฟรังก์ จากระดับ 0.9621 ฟรังก์
ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐเบื้องต้นในเดือนเม.ย. ปรับตัวลงสู่ระดับ 97.8 จากระดับ 101.4 ณ สิ้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นเดือนเม.ย.จะอยู่ที่ระดับ 100.5 หลังจากที่แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2547 ในเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นที่ลดลงในเดือนเม.ย. มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากความกังวลที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับนโยบายการค้าของรัฐบาลสหรัฐ โดยเฉพาะการที่รัฐบาลทรัมป์ประกาศเก็บภาษีเหล็ก อลูมิเนียม และสินค้านำเข้าจากจีนหลายรายการ นอกจากนี้ ความกังวลเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐก็ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคเช่นกัน โดยเฟดได้ขึ้นดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. และเผยว่ามีแผนที่จะขึ้นดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้
นักลงทุนจับตาสถานการณ์ตึงเครียดในซีเรียอย่างใกล้ชิด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ทวีตข้อความขู่ว่าสหรัฐจะยิงขีปนาวุธถล่มซีเรีย เพื่อตอบโต้ต่อการที่รัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชน นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังส่งสัญญาณว่า ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและรัสเซียกำลังตกต่ำลงเป็นประวัติการณ์ สืบเนื่องมาจากการที่สหรัฐเชื่อว่า รัสเซียอยู่เบื้องหลังการใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชนในซีเรีย