ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวผันผวนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (18 เม.ย.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ "Beige Book" เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐมีความกังวลว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2378 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2365 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.4204 ดอลลาร์ จากระดับ 1.4287 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 0.7784 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7769 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 107.27 เยน จากระดับ 107.01 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9683 ฟรังก์ จากระดับ 0.9661 ฟรังก์
ดอลลาร์ปรับตัวผันผวนหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ "Beige Book" เมื่อวานนี้ โดยระบุว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐยังคงเป็นบวก อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจของสหรัฐมีความกังวลว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ
"แนวโน้มเศรษฐกิจของสหรัฐยังคงเป็นบวก แต่ธุรกิจในหลายภาคส่วนที่ต้องมีการทำสัญญาด้านการค้า ซึ่งรวมถึงภาคการผลิต การเกษตร และการขนส่งนั้น ได้แสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้า" รายงาน Beige Book ของเฟดระบุ
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และภาษีนำเข้าอลูมิเนียมในอัตรา 10% จากประเทศต่างๆ รวมถึงจีน พร้อมกับขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 25% จำนวน 1,300 รายการ ตั้งแต่สินค้าอุตสาหกรรมเทคโนโลยี เช่น การแพทย์ การบิน และเซมิคอนดักเตอร์ ไปจนถึงสินค้าจำพวกเครื่องจักรและเคมีภัณฑ์
รายงานของเฟดระบุว่า หลังจากมีการประกาศมาตรการดังกล่าว ราคาเหล็กได้ปรับตัวขึ้นอย่างมาก ขณะที่ภาคธุรกิจต่างก็คาดการณ์ว่า ราคาสินค้าจะปรับตัวขึ้นอีกในช่วงหลายเดือนข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งราคาเหล็กและราคาสินค้าประเภทวัสดุก่อสร้าง นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีการผลิตเดือนเม.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย