ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลล์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลัก ขานรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ

ข่าวหุ้น-การเงิน Thursday June 28, 2018 07:06 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (27 มิ.ย.) หลังจากทางการสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สดใส ซึ่งรวมถึงยอดขาดดุลการค้าที่ปรับตัวลดลงในเดือนพ.ค. ขณะที่นักลงทุนจับตาทิศทางนโยบายการค้าของสหรัฐอย่างใกล้ชิด

ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 110.20 เยน จากระดับ 110.08 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9969 ฟรังก์ จากระดับ 0.9912 ฟรังก์

ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ที่ระดับ 1.1557 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1647 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะระดับ 1.3129 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3227 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะระดับ 0.7353 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7391 ดอลลาร์สหรัฐ

ดอลลาร์ได้รับปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนขานรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐ โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป ลดลง 0.6% ในเดือนพ.ค. อย่างไรก็ตาม นักลงทุนมองว่ายอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค.ปรับตัวลงสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด และยังลดลงน้อยกว่าในเดือนเม.ย.ที่ร่วงลง 1.0%

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐยังเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือนพ.ค. ขณะที่สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.4%

นอกจากนี้ กระทรวงยังระบุว่า สหรัฐขาดดุลการค้าลดลง 3.7% สู่ระดับ 6.48 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนพ.ค. เนื่องจากตัวเลขส่งออกได้พุ่งขึ้นมากกว่าการเพิ่มขึ้นของตัวเลขนำเข้า นักลงทุนจับตากระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายของ GDP ไตรมาส 1 ในวันนี้ ส่วนการประมาณการครั้งที่ 2 นั้น กระทรวงพาณิชย์สหรัฐระบุว่า GDP ไตรมาส 1 ขยายตัวที่ระดับ 2.2% ต่ำกว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 2.3% สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตานโยบายการค้าของสหรัฐอย่างใกล้ชิด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า เขาจะมอบหมายให้คณะกรรมการการลงทุนของต่างประเทศในสหรัฐ (CFIUS) เป็นผู้ดูแลในกรณีที่บริษัทต่างชาติซึ่งรวมถึงจีนนั้น ต้องการจะซื้อกิจการของบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐที่มีความอ่อนไหว โดยตลาดมองว่า การตัดสินใจดังกล่าวถือว่าไม่เข้มงวดเหมือนกับที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่าสหรัฐจะใช้มาตรการสกัดกั้นบริษัทที่มีชาวจีนถือหุ้นมากกว่า 25% เข้าซื้อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา นายแลรี คุดโลว์ ที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาวได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ฟ็อกซ์ บิสิเนส เน็ตเวิร์ค ว่า แผนการที่ปธน.ทรัมป์ได้ประกาศไปนั้น ไม่ได้บ่งชี้ว่าสหรัฐจะอ่อนข้อให้กับจีน


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ