ภาวะตลาดเงินนิวยอร์ก: ดอลลาร์แข็งค่า หลังสหรัฐเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการ

ข่าวหุ้น-การเงิน Saturday September 15, 2018 08:13 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 ก.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการ และบางรายการออกมาแข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงความเชื่อมั่นผู้บริโภค

ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ที่ระดับ 1.1632 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1692 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะระดับ 1.3066 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3111 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะระดับ 0.7165 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7195 ดอลลาร์สหรัฐ

ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 112.01 เยน จากระดับ 111.88 เยน แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9668 ฟรังก์ จากระดับ 0.9659 ฟรังก์ และแข็งค่าแตะระดับ 1.3031 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2990 ดอลลาร์แคนาดา

วานนี้มีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐหลายรายการ ซึ่งบางรายการออกมาดีกว่าคาดการณ์ โดยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) รายงานว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมของสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนส.ค. ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ค.

ทั้งนี้ การผลิตภาคอุตสาหกรรมเป็นการวัดการปรับตัวของภาคการผลิต เหมืองแร่ และสาธารณูปโภค โดยภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนส.ค. ขณะที่ภาคสาธารณูปโภคดีดตัวขึ้น 1.2% และภาคเหมืองแร่ปรับตัวขึ้น 0.7%

ขณะที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับ 100.8 ในเดือนก.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นอันดับ 2 ในปีนี้ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 96.6 หลังจากแตะระดับ 96.2 ในเดือนส.ค.

ผลการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคมีมุมมองเชิงบวกต่อรายได้และการจ้างงานในอนาคต

ด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันเดียวกันว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจพุ่งขึ้น 0.6% ในเดือนก.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หลังจากที่ขยับขึ้น 0.1% ในเดือนมิ.ย.

การดีดตัวขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจในเดือนก.ค.ได้แรงหนุนจากการพุ่งขึ้นของสต็อกรถยนต์

ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นของสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจ เป็นสิ่งบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจที่ว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นในช่วงหลายเดือนข้างหน้า ขณะที่การลดลงของสต็อกสินค้าคงคลัง บ่งชี้ถึงความไม่เชื่อมั่นของภาคธุรกิจต่อยอดขายในอนาคต

นอกจากข้อมูลเศรษฐกิจแล้ว ดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากรายงานข่าวว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงมีความตั้งใจที่จะเดินหน้าเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ ถีงแม้นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐ ได้ส่งจดหมายไปยังเจ้าหน้าที่ของจีน เพื่อเชิญให้เข้าร่วมการเจรจาการค้าครั้งใหม่ และจีนได้ตอบรับคำเชิญแล้วก็ตาม

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า ปธน.ทรัมป์ได้เรียกประชุมที่ปรึกษาทางการค้า ซึ่งรวมถึงนายมนูชิน, นายวิลเบอร์ รอสส์ รมว.พาณิชย์สหรัฐ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ

รายงานระบุว่า ปธน.ทรัมป์แจ้งให้เจ้าหน้าที่ซึ่งเข้าร่วมการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดี เดินหน้าเรียกเก็บภาษี 2 แสนล้านดอลลาร์จากจีน แม้อีกด้านหนึ่ง สหรัฐจะยังคงใช้ความพยายามที่จะเจรจาแก้ไขข้อพิพาททางการค้ากับจีน

ด้านเงินรูเบิลแข็งค่าขึ้น หลังแบงก์ชาติรัสเซียประกาศขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งเป็นการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี

ธนาคารกลางรัสเซียประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 7.50% ในวันศุกร์ ขณะที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าธนาคารกลางจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 7.25%

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันนี้ ถือเป็นครั้งแรกของทางธนาคารกลาง นับตั้งแต่ที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2557 เพื่อพยุงค่าเงินรูเบิลในขณะนั้น

รูเบิลแข็งค่าขึ้นหลังการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยดีดตัวแตะระดับ 67.88 เทียบดอลลาร์ จากระดับ 68.41 ก่อนหน้านี้

ธนาคารกลางระบุว่าจะยังคงพิจารณาความจำเป็นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไป โดยจะจับตาเงินเฟ้อ และปัจจัยทางเศรษฐกิจ รวมทั้งความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก และปฏิกริยาจากตลาดการเงิน

นอกจากนี้ ธนาคารกลางรัสเซียยังเปิดเผยว่า ทางธนาคารกลางจะไม่ทำการซื้อเงินตราต่างประเทศจนถึงสิ้นปีนี้ เพื่อลดความผันผวนของค่าเงินรูเบิล


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ