ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินยูโรและสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (20 ก.ย.) หลังจากมีสัญญาณบ่งชี้ว่า สถานการณ์ตึงเครียดด้านการค้าระหว่างสหรัฐและจีนไม่ได้รุนแรงมากเท่าที่คาดการณ์ไว์ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนเทขายดอลลาร์ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9595 ฟรังก์ จากระดับ 0.9670 ฟรังก์ และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2911 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2917 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 112.46 เยน จากระดับ 112.25 เยน
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ที่ระดับ 1.1775 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1674 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3267 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3145 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 0.7290 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7265 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนวงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์ในอัตราต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยเรียกเก็บเพิ่มอีก 10% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ย.นี้ ขณะที่จีนเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตรา 5-10% วงเงิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 24 ก.ย.เช่นกัน อย่างไรก็ตาม อัตราภาษีดังกล่าวยังต่ำกว่าระดับ 20% ที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
ทางด้านนายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของเจพี มอร์แกน เชส ซึ่งกล่าวว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในขณะนี้ เป็นเพียงการทะเลาะเบาะแว้งกันในทางการค้า ไม่ใช่การทำสงครามการค้า
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 3,000 ราย สู่ระดับ 201,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.2512 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 210,000 ราย
ขณะที่สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองทรงตัวที่ระดับ 5.34 ล้านยูนิตในเดือนส.ค. หลังจากร่วงลงติดต่อกัน 4 เดือน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ย.จากมาร์กิต และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนก.ย.จากมาร์กิต
นักลงทุนจับตาการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 25-26 ก.ย.นี้ ซึ่งตลาดการเงินคาดการณ์กันว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ ก่อนที่จะปรับขึ้นอีกครั้งในการประชุมเดือนธ.ค. หลังจากที่ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.และมิ.ย.