กระทรวงการคลังสหรัฐเตรียมออกรายงานรอบครึ่งปีว่าด้วยประเทศที่บิดเบือนค่าเงินในวันที่ 15 ต.ค. โดยนักลงทุนจะจับตาในส่วนที่ระบุถึงจีน ซึ่งขณะนี้เป็นคู่กรณีของสหรัฐในการทำสงครามการค้า
ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์มักกล่าวหาจีนว่าจงใจลดค่าเงินหยวน เพื่อสร้างความได้เปรียบในการส่งออก และทำให้จีนเกินดุลการค้าอย่างมากต่อสหรัฐ ซึ่งปธน.ทรัมป์มองว่าเป็นการดำเนินการทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐ
สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) รายงานในวันนี้ว่า ยอดส่งออกของจีนในรูปสกุลเงินดอลลาร์ประจำเดือนก.ย. พุ่งขึ้น 14.5% เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ยอดนำเข้าเพิ่มขึ้น 14.3% ส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้าในเดือนก.ย.ทั้งสิ้น 3.2 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยเกินดุลสหรัฐพุ่งขึ้น 16.6% สู่ระดับ 3.1931 แสนล้านหยวน (4.634 หมื่นล้านดอลลาร์) ขณะนำเข้าจากสหรัฐเพิ่มขึ้นเพียง 1.6% อยู่ที่ระดับ 8.623 หมื่นล้านหยวน
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เจ้าหน้าที่ในกระทรวงการคลังสหรัฐได้ให้คำแนะนำแก่นายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐว่า จีนไม่ได้บิดเบือนค่าเงินแต่อย่างใด ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่า ในรายงานที่กระทรวงการคลังสหรัฐจะเปิดเผยในวันจันทร์หน้านั้น สหรัฐจะยังคงไม่มีการระบุว่าจีนเป็นประเทศที่ปั่นค่าเงิน แต่จะขึ้นบัญชีในฐานะประเทศที่ "ถูกจับตามอง" ต่อพฤติกรรมการดำเนินการเกี่ยวกับค่าเงิน และนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เช่นเดียวกับที่ได้ระบุไว้ในรายงาน 3 ฉบับก่อนหน้านี้ นับตั้งแต่ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เข้ารับตำแหน่งในต้นปี 2560
อย่างไรก็ดี นายมนูชินยังคงมีอำนาจในการทบทวนแก้ไขรายงานดังกล่าว ซึ่งหากในที่สุดรายงานฉบับนี้ระบุว่าจีนเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน ก็จะส่งผลให้รัฐบาลสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าจีน รวมทั้งออกมาตรการลงโทษอื่นๆ