สกุลเงินปอนด์และยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (12 พ.ย.) ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการจัดทำงบประมาณของอิตาลี และความกังวลเกี่ยวกับการทำข้อตกลงแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ของอังกฤษ
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1241 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1335 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.2852 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2975 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 0.7189 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7226 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.84 เยน จากระดับ 113.80 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 1.0098 ฟรังก์ จากระดับ 1.0055 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3227 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3210 ดอลลาร์แคนาดา
นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของงบประมาณอิตาลี ก่อนที่รัฐบาลอิตาลีจะยื่นงบประมาณเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ในวันนี้ โดยไม่มีการปรับแก้เป้าหมายตัวเลขการขาดดุลงบประมาณตามที่ EC ได้ท้วงติงก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์ว่า EC อาจไม่อนุมัติงบประมาณของอิตาลีอีกครั้ง หลังจากที่ได้ปฏิเสธเมื่อเดือนที่แล้ว
นอกจากนี้ เงินปอนด์ยังได้รับแรงกดดันจากข่าวที่ว่า รัฐมนตรี 4 รายของอังกฤษ ซึ่งมีแนวคิดสนับสนุนให้อังกฤษรวมตัวเข้ากับสหภาพยุโรป เตรียมลาออกจากคณะรัฐมนตรี เพื่อกดดันนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ
ส่วนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะยังคงเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนหน้า
นักลงทุนคาดการณ์ว่า เฟดมีโอกาสมากกว่า 90% ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนหน้า โดยจากการใช้เครื่องมือ FedWatch วิเคราะห์ภาวะการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ พบว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาส 93% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในปีนี้
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ อัตราเงินเฟ้อเดือนต.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือนต.ค., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนพ.ย.จากเฟดนิวยอร์ก, ดัชนีการผลิตเดือนพ.ย.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนก.ย. และการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนต.ค.