ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินเยนและฟรังก์สวิส ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (13 ธ.ค.) หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 49 ปี ซึ่งช่วยบรรเทาความวิตกกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ขณะที่ยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศยุติโครงการเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในช่วงสิ้นเดือนนี้ ส่วนเงินปอนด์ดีดตัวขึ้นหลังจากนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ รอดพ้นจากการลงมติไม่ไว้วางใจในพรรคอนุรักษ์นิยม
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1366 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1365 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.2660 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2632 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7227 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7219 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 113.60 เยน จากระดับ 113.21 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9933 ฟรังก์ จากระดับ 0.9928 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3355 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3350 ดอลลาร์แคนาดา
ดอลลาร์ได้รับแรงหนุนหลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 27,000 ราย สู่ระดับ 206,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 49 ปี ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะลดลงสู่ระดับ 225,000 ราย
ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ซึ่งถือเป็นมาตรวัดตลาดแรงงานที่ดีกว่า เนื่องจากขจัดความผันผวนรายสัปดาห์ ลดลง 3,750 ราย สู่ระดับ 224,750 รายในสัปดาห์ที่แล้ว
เงินปอนด์ฟื้นตัวขึ้นหลังจากนางเทเรซา เมย์ รอดพ้นจากการลงมติไม่ไว้วางใจจากสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งส่งผลให้นางเมย์ยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอังกฤษ และหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมต่อไป โดยนางเมย์ได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกพรรคอนุรักษ์นิยมในสภาสามัญชน ด้วยคะแนนเสียง 200 ต่อ 117 เสียง
นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดสหภาพยุโรป (EU) เมื่อวานนี้ เพื่อหาทางเชื่อมโยงการดำเนินการที่ได้มีการให้คำมั่นไว้จากผู้นำ EU เกี่ยวกับข้อตกลงเกี่ยวกับ Backstop หรือนโยบายที่ทั้งสองฝ่ายใช้ระบบศุลกากรร่วมกัน ซึ่งครอบคลุมสินค้าเกือบทุกชนิด ยกเว้นสินค้าประมงในบริเวณชายแดนของไอร์แลนด์
ส่วนสกุลเงินยูโรได้รับปัจจัยหนุนหลังจาก ECB ประกาศยุติโครงการ QE ในช่วงสิ้นเดือนนี้ หลังจากที่ได้เข้าซื้อพันธบัตรในวงเงิน 1.5 หมื่นล้านยูโร (1.74 หมื่นล้านดอลลาร์) ต่อเดือนก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ยูโรแข็งค่าขึ้นเพียงเล็กน้อย เนื่องจากถูกกดดันจากการที่นายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซนในปีนี้ สู่ระดับ 1.9% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.0% และปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของยูโรโซนในปีหน้า สู่ระดับ 1.7% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.8%
นายดรากีระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนมีความเสี่ยงในช่วงขาลง โดยมีสาเหตุจากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์, ผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า, ความเปราะบางในตลาดเกิดใหม่ และความผันผวนในตลาดการเงิน
นักลงทุนจับตาการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 18-19 ธ.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 สำหรับปีนี้ แต่คาดว่าเฟดจะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า หลังการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ทรงตัว และการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ซบเซาในเดือนพ.ย.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐซึ่งมีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนพ.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนธ.ค.จากมาร์กิต และสต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนต.ค.