ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ดีดตัวขึ้นในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของยูโรและปอนด์ จากความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวของยูโรโซน และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit)
ณ เวลา 19.40 น.ตามเวลาไทย ดัชนีดอลลาร์บวก 0.54% สู่ระดับ 97.58 ขณะที่ยูโรร่วงลง 0.65% สู่ระดับ 128.24 เยน และดิ่งลง 0.66% สู่ระดับ 1.1286 ดอลลาร์ ส่วนปอนด์อ่อนค่า 0.71% สู่ระดับ 1.2565 ดอลลาร์
นักลงทุนรอการประชุมเฟดในวันที่ 18-19 ธ.ค. โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 4 สำหรับปีนี้ ขณะที่ตลาดจะจับตาการส่งสัญญาณของเฟดเกี่ยวกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีหน้า
ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและบริการเบื้องต้นของยูโรโซน ปรับตัวลงสู่ระดับ 51.3 ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 49 เดือน จากระดับ 52.7 ในเดือนพ.ย.
การร่วงลงของดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ และการจ้างงาน ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจดิ่งลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี
นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซนในปีนี้ สู่ระดับ 1.9% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.0%
นอกจากนี้ นายดรากียังได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของยูโรโซนในปีหน้า สู่ระดับ 1.7% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 1.8%
นายดรากีระบุว่า เศรษฐกิจยูโรโซนมีความเสี่ยงในช่วงขาลง โดยมีสาเหตุจากความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์, ผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้า, ความเปราะบางในตลาดเกิดใหม่ และความผันผวนในตลาดการเงิน
ทางด้านผู้นำของสหภาพยุโรป (EU) ส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะไม่มีการเจรจาต่อรองครั้งใหม่ต่อข้อตกลง Brexit กับนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ขณะที่นางเมย์ได้ประกาศเลื่อนการลงมติในรัฐสภาต่อร่างข้อตกลง Brexit ออกไปโดยไม่มีกำหนด จากเดิมที่มีกำหนดลงมติในวันที่ 11 ธ.ค.