สกุลเงินปอนด์และยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (8 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ที่อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) รวมทั้งเศรษฐกิจยูโรโซนที่ส่งสัญญาณชะลอตัว หลังจากมีรายงานว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีหดตัวลงติดต่อกันเดือนที่ 3
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1442 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1478 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.2719 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2769 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7139 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7142 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 108.63 เยน จากระดับ 108.60 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9812 ฟรังก์ จากระดับ 0.9794 ฟรังก์ แต่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3282 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3296 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรอ่อนค่าลงหลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีเปิดเผยเมื่อวานนี้ว่า การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนพ.ย.ลดลง 1.9% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกันเดือนที่ 3 และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.3% นับเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า เศรษฐกิจเยอรมนีซึ่งใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของยุโรปนั้น มีแนวโน้มชะลอตัวลงในไตรมาส 4 ปี 2561
นอกจากนี้ สำนักงานสถิติเยอรมนียังได้ปรับทบทวนการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนต.ค. โดยระบุว่าตัวเลขดังกล่าวปรับตัวลง 0.8% ซึ่งย่ำแย่กว่าการรายงานเบื้องต้นที่ระบุว่าปรับตัวลงเพียง 0.5%
ส่วนเงินปอนด์ได้รับแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ Brexit ขณะที่โฆษกของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ กล่าวว่า รัฐสภาจะลงมติต่อร่างข้อตกลง Brexit ในวันที่ 15 ม.ค.นี้ พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลอังกฤษไม่มีนโยบายในการชะลอเวลาการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (EU) ด้วยการขยายเวลาในการประกาศใช้มาตรา 50 เห่งสนธิสัญญาลิสบอน ถึงแม้แนวคิดดังกล่าวอาจมีการหารือกันในท่ามกลางเจ้าหน้าที่ของ EU ก็ตาม
ทั้งนี้ อังกฤษมีกำหนดแยกตัวออกจาก EU อย่างเป็นทางการในวันที่ 29 มี.ค.ปีนี้
ทางการสหรัฐได้เลื่อนการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจหลายรายการในสัปดาห์นี้ เนื่องจากผลกระทบของภาวะชัตดาวน์ ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และอัตราเงินเฟ้อเดือนธ.ค.