เงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 ม.ค.) ก่อนที่รัฐสภาอังกฤษจะทำการลงมติต่อร่างข้อตกลงการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ในวันนี้ตามเวลาท้องถิ่น ส่วนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวแนวโน้มเศรษฐกิจโลก หลังจากทางการจีนเปิดเผยข้อมูลการค้าที่ย่ำแย่ทั้งในเดือนธ.ค.และตลอดปี 2561
เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2865 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2845 ดอลลาร์ ขณะที่ยูโรทรงตัวอยู่ที่ระดับ 1.1465 ดอลลาร์ ส่วนสกุลเงินดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7198 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7206 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 108.20 เยน จากระดับ 108.48 เยน และอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9813 ฟรังก์ จากระดับ 0.9844 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3267 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3271 ดอลลาร์แคนาดา
เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ขณะที่นักลงทุนจับตารัฐสภาอังกฤษซึ่งจะทำการลงมติต่อร่างข้อตกลง Brexit ในวันนี้ เวลา 20.00-21.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น หรือเช้ามืดวันพุธเวลา 03.00-04.00 น.ตามเวลาไทย
การลงมติดังกล่าวจะเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตการเมืองของนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ซึ่งต้องการผลักดันให้ร่างข้อตกลง Brexit ฉบับนี้ผ่านการอนุมัติในรัฐสภา หลังจากที่ได้เลื่อนการลงมติมาแล้วครั้งหนึ่งจากเดิมที่มีกำหนดในวันที่ 11 ธ.ค.ปีที่แล้ว เนื่องจากวิตกว่าจะถูกสภาคว่ำในวันดังกล่าว
เจพีมอร์แกนคาดการณ์ว่า ปอนด์อาจพุ่งขึ้นถึง 4% เทียบเงินทุกสกุล หากรัฐสภาให้การอนุมัติร่างข้อตกลง Brexit ในวันที่ 15 ม.ค. ขณะที่โนมูระคาดการณ์ว่า ปอนด์จะดิ่งลงมากกว่า 2% เทียบดอลลาร์ หากรัฐสภาคว่ำข้อตกลงดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์อีฟนิ่ง สแตนดาร์ดของอังกฤษรายงานว่า รัฐมนตรีหลายรายในคณะรัฐมนตรีอังกฤษได้กล่าวว่า มีแนวโน้มที่อาจมีการเลื่อนกำหนดวัน Brexit จากเดิมที่กำหนดไว้เป็นวันที่ 29 มี.ค.62 เนื่องจากยังคงมีร่างกฎหมายจำนวนมากที่จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภา ก่อนที่อังกฤษจะแยกตัวออกจาก EU
ส่วนสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวแนวโน้มเศรษฐกิจโลก หลังจากสำนักงานศุลกากรจีน (GAC) รายงานว่า ยอดส่งออกเดือนธ.ค. ลดลง 4.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 7.6% ส่งผลให้จีนมียอดเกินดุลการค้าในเดือนธ.ค.ที่ระดับ 5.71 หมื่นล้านดอลลาร์ โดยทั้งยอดส่งออกและนำเข้าในเดือนธ.ค.เป็นสถิติที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ปี 2559
สำหรับตลอดปี 2561 นั้น ยอดส่งออกของจีนปรับตัวขึ้น 7.1% ซึ่งชะลอตัวลงจากปี 2560 ที่มีการขยายตัว 7.9% ขณะที่ยอดนำเข้าขยายตัวเพียง 12.9% ซึ่งชะลอตัวลงจากปี 2560 ที่มีการขยายตัว 15.9%
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนธ.ค., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนม.ค.จากเฟดนิวยอร์ก, ราคานำเข้าและราคาส่งออกเดือนธ.ค., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนม.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ Beige Book จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนม.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, การผลิตภาคอุตสาหกรรม-อัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนธ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือนม.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน