ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (25 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนลดการถือครองดอลลาร์ในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย และเข้าลงทุนในสกุลเงินอื่นๆที่มีความเสี่ยงสูงกว่าและให้ผลตอบแทนมากกว่า เช่นยูโรและดอลลาร์ออสเตรเลีย หลังจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนมีความคืบหน้าอย่างมาก
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1364 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1338 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.3102 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3060 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 0.7175 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7133 ดอลลาร์
อย่างไรก็ตาม ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 1.0002 ฟรังก์ จากระดับ 1.0001 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 111.13 เยน จากระดับ 110.69 เยน นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3193 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3138 ดอลลาร์แคนาดา
นักลงทุนเทขายดอลลาร์สหรัฐในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความระบุว่า สหรัฐจะเลื่อนเวลาการปรับเพิ่มอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน จากเดิมที่มีกำหนดบังคับใช้ในวันที่ 1 มี.ค. หลังจากการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนมีความคืบหน้าในประเด็นต่างๆที่มีความสำคัญในเชิงโครงสร้าง ซึ่งรวมถึงประเด็นการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญา การถ่ายโอนเทคโนโลยี การเกษตร การบริการ ค่าเงิน และอีกหลายประเด็น
ส่วนเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นหลังจากนางเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้เลื่อนการลงมติของรัฐสภาต่อข้อตกลงถอนตัวจากสหภาพยุโรป (Brexit) ออกไปจากวันที่ 29 มี.ค. ภายหลังจากที่นางนายเมย์ได้เลื่อนการลงมติข้อตกลง Brexit ของเธอในรัฐสภาเป็นวันที่ 12 มี.ค.
นักลงทุนจับตานายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ และอัตราเงินเฟ้อ รวมทั้งทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปีนี้ โดยนายพาวเวลจะแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้ และจะแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันพุธ
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งพุ่งขึ้น 1.1% ในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2556 หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย.
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ได้แก่ ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนธ.ค., ราคาบ้านเดือนธ.ค.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ.จาก Conference Board, ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนธ.ค., ราคาบ้านเดือนธ.ค.จากเอสแอนด์พี/เคส-ชิลเลอร์, ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ.จาก Conference Board, จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 4/2561, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ม.ค., รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลเดือนม.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนก.พ.จากมาร์กิต, ดัชนีภาคการผลิตเดือนก.พ.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.พ.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน