ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 พ.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากความหวังที่ว่า สหรัฐและจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาการค้า ขณะที่สกุลเงินยูโรร่วงลง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจอิตาลี
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1207 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1231 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงสู่ระดับ 1.2904 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2965 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 0.6944 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6950 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 109.63 เยน จากระดับ 109.33 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 1.0094 ฟรังก์ จากระดับ 1.0065 ฟรังก์ แต่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3466 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3467 ดอลลาร์แคนาดา
ดอลลาร์ได้รับปัจจัยหนุนจากความหวังเกี่ยวกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า สหรัฐกำลังอยู่ในสถานะที่ดีขึ้นในการทำข้อตกลงกับจีน ขณะที่เม็ดเงินหลายพันล้านดอลลาร์กำลังไหลกลับสู่สหรัฐ และการจ้างงานกำลังกลับสู่สหรัฐเช่นกัน นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์กล่าวว่า เขายังคงมีความเคารพและมิตรภาพอย่างไม่จำกัดต่อปธน.สี จิ้นผิง แต่ย้ำว่า ข้อตกลงที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นข้อตกลงที่ดีที่สุดสำหรับสหรัฐ
ด้านนักวิเคราะห์ของซิตี้กรุ๊ปได้ออกมาแสดงมุมมองที่ค่อนข้างเป็นบวกว่า สหรัฐและจีนจะสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้าได้ในที่สุด โดยแม้ว่าปัจจัยการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีนจะยังคงทำให้ตลาดหุ้นแกว่งตัวในระยะสั้น แต่คาดว่าตลาดได้ปรับตัวรับข่าวดังกล่าวได้ในระดับหนึ่งแล้ว
ส่วนสกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงหลังจากรองนายกรัฐมนตรีอิตาลีได้ออกมาส่งสัญญาณว่า อิตาลีอาจจะไม่ทำตามกฎระเบียบของสหภาพยุโรป (EU) เกี่ยวกับระดับหนี้สินของรัฐบาล เนื่องจากรัฐบาลจำเป็นต้องกระตุ้นการจ้างงานภายในประเทศ โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวส่งผลให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้สินของอิตาลีและแนวโน้มเศรษฐกิจของยุโรป
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคานำเข้าขยับขึ้นเพียง 0.2% เมื่อเทียบรายเดือน ในเดือนเม.ย. และหากเทียบรายปี ดัชนีราคานำเข้าลดลง 0.2% ในเดือนเม.ย. ส่วนดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน และหากเทียบรายปี ดัชนีราคาส่งออกเพิ่มขึ้น 0.3%
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย., ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนพ.ค.จากเฟดนิวยอร์ก, การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนเม.ย., สต็อกสินค้าภาคธุรกิจเดือนมี.ค., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือนพ.ค.จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนเม.ย., ดัชนีการผลิตเดือนพ.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนเม.ย.จาก Conference Board และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน