ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (31 พ.ค.) ขณะที่นักลงทุนปรับตัวรับการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐ และการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดจากเม็กซิโกในอัตรา 5% ได้สร้างความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้า
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์สหรัฐเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.38% แตะที่ 97.7758 เมื่อคืนนี้
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 108.43 เยน จากระดับ 109.54 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 1.0007 ฟรังก์ จากระดับ 1.0073 ฟรังก์ แต่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3523 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3509 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1169 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1134 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าแตะที่ระดับ 1.2631 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2609 ดอลลาร์ และ ดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.6938 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6911 ดอลลาร์สหรัฐ
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากขยับขึ้น 0.2% ในเดือนมี.ค. และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE เพิ่มขึ้น 1.5% ในเดือนเม.ย. หลังจากปรับตัวขึ้น 1.4% ในเดือนมี.ค.
ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังจากขยับขึ้น 0.1% ในเดือนมี.ค. และเมื่อเทียบรายปี ดัชนี PCE พื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.6% ในเดือนเม.ย. หลังจากดีดตัวขึ้น 1.5% ในเดือนมี.ค.
ดอลลาร์ร่วงลง ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อเยนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก ซึ่งสร้างความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้า
ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์สร้างความตื่นตระหนกต่อตลาดการเงินด้วยการประกาศเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าทั้งหมดจากเม็กซิโก ในอัตรา 5% โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 10 มิ.ย. ซึ่งมีเป้าหมายที่จะสกัดการหลั่งไหลของผู้อพยพผิดกฎหมายจากเม็กซิโกที่ข้ามพรมแดนเข้ามาในสหรัฐ