เงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (25 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลว่า การที่นายบอริส จอห์นสัน ได้รับการแต่งตั้งให้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอังกฤษ จะทำให้อังกฤษมีแนวโน้มที่จะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยไม่มีการทำข้อตกลง ขณะที่สกุลเงินยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจากที่นายมาริโอ ดรากี ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวว่า ยูโรโซนมีความเสี่ยงต่ำที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1144 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1136 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.2450 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2479 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.6945 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6976 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 108.75 เยน จากระดับ 108.22 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9914 ฟรังก์ จากระดับ 0.9857 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3162 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3143 ดอลลาร์แคนาดา
เงินปอนด์อ่อนค่าลงหลังจากนายจอห์นสันกล่าวต่อรัฐสภาอังกฤษเมื่อวานนี้ว่า เขาจะทำข้อตกลง Brexit ฉบับใหม่กับสหภาพยุโรป (EU) ซึ่งหาก EU ปฏิเสธที่จะทำการเจรจา เขาก็จะนำอังกฤษแยกตัวจาก EU ในวันที่ 31 ต.ค. โดยไม่มีการทำข้อตกลง
ทางด้านนายฌอง-คล็อด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) ซึ่งเป็นองค์กรบริหารของสหภาพยุโรป (EU) กล่าวว่า EU จะไม่ทำการเจรจาครั้งใหม่กับอังกฤษ โดยข้อตกลงเกี่ยวกับ Brexit ซึ่งผู้นำ EU มีการบรรลุข้อตกลงกับนางเทเรซา เมย์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ ในเดือนพ.ย.ปีที่แล้ว ถือเป็นข้อตกลงที่ดีที่สุด และเป็นข้อตกลงฉบับเดียวที่อังกฤษทำไว้กับ EU
ส่วนยูโรแข็งค่าขึ้นหลังจากหลังจากที่นายมาริโอ ดรากี ประธาน ECB กล่าวว่า ยูโรโซนมีความเสี่ยงต่ำที่จะเผชิญภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดยถ้อยแถลงดังกล่าวช่วยหนุนสกุลเงินยูโรดีดตัวขึ้น หลังจากที่อ่อนค่าลงในช่วงแรก
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 10,000 ราย สู่ระดับ 206,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่กลางเดือนเม.ย. สวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 219,000 ราย
ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พุ่งขึ้น 2% ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค.ในปีที่แล้ว และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% หลังจากร่วงลงติดต่อกัน 2 เดือน
นักลงทุนจับตาการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 30-31 ก.ค. โดยนักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนนี้
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2/2562 โดยทางการสหรัฐจะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในเวลา 19.30 น.ตามเวลาไทย