ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (19 ก.ย.) หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวน ซึ่งรวมถึงยอดขายบ้านมือสองและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นเนื่องจากนักลงทุนคาดหวังว่า อังกฤษจะแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) โดยมีการทำข้อตกลงกับบรรดาผู้นำสหภาพยุโรป
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 107.98 เยน จากระดับ 108.35 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9919 ฟรังก์ จากระดับ 0.9971 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3256 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3295 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1053 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1031 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.2536 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2463 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 0.6799 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6824 ดอลลาร์สหรัฐ
เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นหลังจากนายฌอง-คล็อด ยุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) กล่าวให้สัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์สกายนิวส์ว่า เขาคาดหวังว่าผู้นำกลุ่มสหภาพยุโรป (EU) จะสามารถทำข้อตกลงกับอังกฤษได้ทันก่อนเส้นตาย Brexit ในวันที่ 31 ต.ค.
ส่วนดอลลาร์อ่อนค่าลงหลังจากข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐออกมาผันผวนเมื่อคืนนี้ โดยสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้น 1.3% สู่ระดับ 5.49 ล้านยูนิตในเดือนส.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 เดือน ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดของสหรัฐลดลง 5.9% สู่ระดับ 1.282 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 2 จากระดับ 1.362 แสนล้านดอลลาร์ในไตรมาส 1
ทางด้าน Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ทรงตัวในเดือนส.ค. โดยอยู่ที่ระดับ 112.1 หลังจากเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนก.ค. ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 2,000 ราย สู่ระดับ 208,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 213,000 ราย