ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (25 มิ.ย.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเดินหน้าซื้อดอลลาร์ซึ่งเป็นสกุลเงินปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ และสหภาพยุโรป (EU)
ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.29% สู่ระดับ 97.4380 เมื่อคืนนี้
ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 107.20 เยน จากระดับ 106.94 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9489 ฟรังก์ จากระดับ 0.9478 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3649 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3611 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1215 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1258 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.2405 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2423 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.6871 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6867 ดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐยังคงได้รับแรงซื้อในฐานะสกุลเงินปลอดภัย เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐ โดยสำนักข่าว NBC รายงานว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รายใหม่ในสหรัฐอยู่ที่ 45,557 รายในวันพุธที่ผ่านมา ซึ่งสูงกว่าสถิติเดิมที่ทำไว้ในวันที่ 26 เม.ย.กว่า 9,000 ราย
ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า การพุ่งขึ้นของจำนวนผู้ติดเชื้อในรัฐแถบตะวันตกและทางใต้ของสหรัฐอาจเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงวันหยุดทหารผ่านศึก ซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นในหลายรัฐได้ผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และประกาศเปิดเศรษฐกิจอีกครั้ง
นอกจากนี้ นักลงทุนยังเข้าซื้อดอลลาร์หลังมีสัญญาณบ่งชี้ถึงความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ และสหภาพยุโรป (EU) โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เปิดเผยว่า สหรัฐกำลังพิจารณาเรียกเก็บภาษีนำเข้ามูลค่า 3.1 พันล้านดอลลาร์จากสินค้าของประเทศในยุโรป ท่ามกลางความขัดแย้งเกี่ยวกับการอุดหนุนอุตสาหกรรมผลิตเครื่องบิน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจำนวน 1.48 ล้านรายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.35 ล้านราย โดยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังคงมีจำนวนมากกว่า 1 ล้านรายติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 14 แม้ว่ารัฐต่างๆได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และได้เปิดเศรษฐกิจครั้งใหม่
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งสุดท้ายสำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1/2563 โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวลง 5% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 หลังจากที่ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ระบุว่าหดตัวลง 4.8% โดยได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล ซึ่งทำให้มีการปิดเศรษฐกิจเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
นอกจากนี้ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ เช่น เครื่องบิน รถยนต์ และเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีอายุการใช้งานตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป พุ่งขึ้น 15.8% ในเดือนพ.ค. หลังจากร่วงลง 18.1% ในเดือนเม.ย. โดยการพุ่งขึ้นของยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนในเดือนพ.ค. ได้รับแรงหนุนจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ หลังจากมีการปิดเศรษฐกิจก่อนหน้านี้เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้ได้แก่ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือนพ.ค. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมิ.ย.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน