ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (8 ก.ย.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ซึ่งเป็นสกุลเงินปลอดภัยและมีสภาพคล่องสูง หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงอย่างหนัก ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลง เนื่องจากความกังวลที่ว่าอังกฤษอาจจะไม่สามารถทำข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป (EU)
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.40% แตะที่ระดับ 93.4450 เมื่อคืนนี้
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9173 ฟรังก์ จากระดับ 0.9162 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3222 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3094 ดอลลาร์แคนาดา แต่หากเทียบกับเงินเยน ดอลลาร์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 106.03 เยน จากระดับ 106.28 เยน
เงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.2990 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3168 ดอลลาร์ ขณะที่ยูโรอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.1780 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1811 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.7215 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7276 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงอย่างหนักเมื่อคืนนี้ เนื่องจากคำสั่งขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาทระหว่างสหรัฐและจีน หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าจะลดระดับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐและจีน พร้อมกับขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีบริษัทสหรัฐที่ออกไปสร้างงานในจีนและประเทศอื่นๆ
เงินปอนด์อ่อนค่าลง หลังจากนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ได้กำหนดเส้นตายในวันที่ 15 ต.ค.นี้ เพื่อบรรลุข้อตกลงการค้ากับ Brexit โดยระบุว่า หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ภายในวันดังกล่าว อังกฤษก็พร้อมที่จะออกจาก EU โดยไม่มีการทำข้อตกลง เมื่อระยะเวลาเปลี่ยนผ่านสิ้นสุดลงในช่วงสิ้นปีนี้
ทั้งนี้ แม้ว่าอังกฤษได้สิ้นสุดการเป็นสมาชิกของ EU แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 31 ม.ค. 2563 แต่ก็ยังต้องดำเนินการตามกฎระเบียบต่างๆของ EU ในช่วงเวลาการเปลี่ยนผ่านจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2563 โดยในระหว่างนี้ อังกฤษกำลังเจรจากับ EU ในประเด็นต่างๆ นับตั้งแต่การค้าไปจนถึงความมั่นคง
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สหพันธ์ธุรกิจอิสระแห่งชาติสหรัฐ (NFIB) รายงานว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดย่อมปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 100.2 ในเดือนส.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ โดยรายงานของ NFIB ยังระบุด้วยว่า ธุรกิจขนาดย่อมมีแผนที่จะสร้างงานใหม่
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนก.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค., สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนก.ค. และอัตราเงินเฟ้อเดือนส.ค.