ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินปอนด์และฟรังก์สวิส ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (19 พ.ย.) ขณะที่นักลงทุนจับตาการเจรจามาตรการเยียวยาเศรษฐกิจจากผลกระทบของโควิด-19 ในสหรัฐ และการประชุมเพื่อเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษ และสหภาพยุโรป (EU)
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9105 ฟรังก์ จากระดับ 0.9102 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3065 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3047 ดอลลาร์แคนาดา แต่เมื่อเทียบกับเงินเยน ดอลลาร์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 103.80 เยน จากระดับ 103.81 เยน
เงินปอนด์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3252 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3280 ดอลลาร์ ขณะที่ยูโรแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.1875 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1864 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงแตะที่ 0.7287 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7320 ดอลลาร์สหรัฐ
นักลงทุนจับตาการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างอังกฤษและ EU ก่อนที่ช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของอังกฤษในการแยกตัวออกจาก EU จะสิ้นสุดลงในปลายปีนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้อังกฤษต้องแยกตัวออกจาก EU โดยไม่มีการทำข้อตกลง (no-deal Brexit)
นักวิเคราะห์ระบุว่า หากทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ปอนด์จะดิ่งลง 5-10% แต่หากมีการบรรลุข้อตกลง ปอนด์จะดีดตัวขึ้น 1-4%
นอกจากนี้ นักลงทุนจับตาการเจรจามาตรการเยียวยาเศรษฐกิจของสหรัฐ หลังจากนายชัค ชูเมอร์ ผู้นำเสียงข้างน้อยในวุฒิสภาสหรัฐสังกัดพรรคเดโมแครต เปิดเผยว่า นายมิทช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาสังกัดพรรครีพับลิกัน ได้ตกลงที่จะกลับมาเจรจาเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเยียวยาประชาชนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกครั้ง หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อในสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนทำให้หลายรัฐในสหรัฐประกาศใช้มาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวกำลังสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจภายในประเทศ
ที่ผ่านมานั้น การเจรจาเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้หยุดชะงักลงเนื่องจากทั้งสองพรรคมีความเห็นที่ขัดแย้งกันในหลายประเด็น ซึ่งรวมถึงวงเงินของมาตรการดังกล่าว โดยพรรคเดโมแครตเสนอวงเงิน 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ ในขณะที่พรรครีพับลิกันเสนอวงเงินเพียง 1.9 ล้านล้านดอลลาร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 742,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว จากระดับ 709,000 รายที่มีการรายงานในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ระดับ 710,000 ราย
ทางด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 โดยดีดตัวขึ้น 4.3% สู่ระดับ 6.85 ล้านยูนิตในเดือนต.ค. หลังจากแตะระดับ 6.57 ล้านยูนิตในเดือนก.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดขายบ้านจะลดลง 1.2% สู่ระดับ 6.45 ล้านยูนิตในเดือนต.ค.