ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (14 พ.ค.) โดยถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่อ่อนแอกว่าคาด อาทิ ยอดค้าปลีกเดือนเม.ย.
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.48% แตะที่ 90.3191 เมื่อคืนนี้
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 109.35 เยน จากระดับ 109.45 เยน, อ่อนค่าเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9021 ฟรังก์ จากระดับ 0.9062 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดาที่ระดับ 1.2112 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2166 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.2143 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2075 ดอลลาร์, เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.4100 ดอลลาร์ จากระดับ 1.4042 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 0.7785 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7725 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง เนื่องจากถูกกดดันจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่อ่อนแอเกินคาด โดยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ยอดค้าปลีกทรงตัวในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าอาจเพิ่มขึ้น 1.0% หลังจากพุ่งขึ้น 10.7% ในเดือนมี.ค. ขณะที่ยอดค้าปลีกพื้นฐานซึ่งไม่รวมยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร ร่วงลง 1.5% ในเดือนเม.ย. หลังจากพุ่งขึ้น 7.6% ในเดือนมี.ค.
นอกจากนี้ มหาวิทยาลัยมิชิแกนเปิดเผยผลสำรวจในวันศุกร์ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐลดลงสู่ระดับ 82.8 ในเดือนพ.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 90.4 หลังจากแตะระดับ 88.3 ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสหรัฐในเดือนมี.ค. 2563