ดอลลาร์แข็งค่าเทียบสกุลเงินหลักในวันนี้ ขานรับภาคการผลิตและภาคบริการที่แข็งแกร่งของสหรัฐ
ณ เวลา 23.57 น.ตามเวลาไทย ดอลลาร์แข็งค่า 0.22% สู่ระดับ 108.99 เยน ขณะที่ยูโรปรับตัวลง 0.30% สู่ระดับ 132.55 เยน และร่วงลง 0.54% สู่ระดับ 1.216 ดอลลาร์ ส่วนดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 0.38% สู่ระดับ 90.15
ไอเอชเอส มาร์กิต ซึ่งเป็นบริษัทให้บริการข้อมูลทางการเงิน เปิดเผยว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ดีดตัวสู่ระดับ 68.1 ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 63.5 ในเดือนเม.ย.
ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐยังคงมีการขยายตัว ทั้งภาคการผลิตและบริการ
ดัชนี PMI ได้รับแรงหนุนจากการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11 ขณะที่คำสั่งซื้อใหม่เพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ส่วนความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจดีดตัวขึ้นขานรับการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ และความคืบหน้าในการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในวงกว้าง
ทั้งนี้ ดัชนี PMI ภาคการผลิตเบื้องต้น อยู่ที่ 61.5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 60.5 ในเดือนเม.ย.
สำหรับดัชนี PMI ภาคบริการเบื้องต้น อยู่ที่ 70.1 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากระดับ 64.7 ในเดือนเม.ย.
อย่างไรก็ดี ดอลลาร์มีแนวโน้มปรับตัวลงในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความกังวลที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) อาจชะลอการผ่อนคลายนโยบายการเงิน หลังมีการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเกินคาด
ทั้งนี้ รายงานการประชุมของเฟดได้ส่งสัญญาณการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
รายงานระบุว่า กรรมการเฟดได้หารือกันเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ และเสนอให้เริ่มอภิปรายเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ซึ่งสอดคล้องกับมุมมองของนักลงทุนที่ว่า ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นจะทำให้เฟดชะลอการผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดไว้ รวมทั้งลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE จากปัจจุบันที่เฟดทำ QE อย่างน้อย 1.2 แสนล้านดอลลาร์/เดือน