ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (21 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเริ่มหันไปถือครองสกุลเงินที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยง เช่นยูโรและปอนด์ หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.22% แตะที่ 92.7613 เมื่อคืนนี้
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1799 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1782 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3715 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3626 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7357 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7330 ดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 110.27 เยน จากระดับ 109.82 เยน แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9172 ฟรังก์ จากระดับ 0.9211 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2558 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2694 ดอลลาร์แคนาดา
นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง เช่นยูโรและปอนด์ หลังจากตลาดหุ้นทั่วโลกดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยตลาดหุ้นสหรัฐและตลาดหุ้นยุโรปต่างก็ปรับตัวขึ้นเมื่อคืนนี้ ขานรับผลประกอบการที่ดีเกินคาดของบริษัทจดทะเบียน
อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าดอลลาร์จะยังคงแข็งค่าในไตรมาส 3 โดยดัชนีดอลลาร์จะดีดตัวแตะ 96.0-97.0
นักลงทุนจับตาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (CDC) แถลงว่า จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้พุ่งขึ้นในสหรัฐ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา โดยขณะนี้สหรัฐมีผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตาคิดเป็น 83% ของผู้ติดเชื้อทั้งหมด สูงกว่าระดับ 50% ที่พบในช่วงวันที่ 27 มิ.ย.-3 ก.ค.
สหรัฐติดอันดับ 1 ของโลกทั้งจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และผู้เสียชีวิต โดยมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 35 ล้านราย และเสียชีวิตเกือบ 625,000 ราย
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศจากเฟดชิคาโก, ยอดขายบ้านมือสอง และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการจากมาร์กิต