สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อคืนนี้ (22 ก.ค.) หลังจากธนาคารกลางยุโรป (ECB) ส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีก 2 ปี
ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.07% แตะที่ 92.8224 เมื่อคืนนี้
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1771 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1799 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.3774 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3715 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7387 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7357 ดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 110.14 เยน จากระดับ 110.27 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2556 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2558 ดอลลาร์แคนาดา แต่เมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 0.9190 ฟรังก์ จากระดับ 0.9172 ฟรังก์
ยูโรอ่อนค่าลง หลังจากที่ประชุม ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรืออัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50% อีกทั้งคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
นอกจากนี้ ECB มีมติคงวงเงินในการซื้อพันธบัตรตามโครงการ Pandemic Emergency Purchase Programme (PEPP) ที่ระดับ 1.85 ล้านล้านยูโร ซึ่ง ECB จะซื้อพันธบัตรตามโครงการดังกล่าวจนถึงเดือนมี.ค.2565 โดยจะซื้อพันธบัตรในวงเงิน 2 หมื่นล้านยูโร/เดือน
ขณะเดียวกัน ECB ระบุว่า ทางธนาคารจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าเงินเฟ้อแตะระดับเป้าหมาย 2% ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่า ECB จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีก 2 ปี เนื่องจาก ECB คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า เงินเฟ้อในยูโรโซนจะยังไม่แตะระดับ 2% อย่างน้อยในอีก 2 ปีข้างหน้า
ดอลลาร์สหรัฐปรับตัวผันผวนเมื่อคืนนี้ หลังมีการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 419,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 15 พ.ค. จากระดับ 368,000 รายในสัปดาห์ก่อนหน้านี้
ทางด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองเพิ่มขึ้นเพียง 1.4% สู่ระดับ 5.86 ล้านยูนิตในเดือนมิ.ย. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.90 ล้านยูนิต โดยยอดขายบ้านมือสองได้รับผลกระทบจากราคาบ้านที่พุ่งสูง, สต็อกบ้านในระดับต่ำ และราคาวัสดุสร้างบ้านที่พุ่งขึ้น
นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในวันนี้ ซึ่งได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและภาคบริการจากมาร์กิต