ดอลลาร์อ่อนค่าเทียบสกุลเงินหลัก หลังพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์วานนี้ขานรับผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ณ เวลา 00.08 น.ตามเวลาไทย ดอลลาร์ร่วงลง 0.32% สู่ระดับ 113.66 เยน ขณะที่ยูโรปรับตัวลง 0.12% สู่ระดับ 128.52 เยน และดีดตัวขึ้น 0.22% สู่ระดับ 1.131 ดอลลาร์ ส่วนดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลบ 0.43% สู่ระดับ 96.10
ทั้งนี้ ดอลลาร์อ่อนค่าลง ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง โดยเทขายดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัย และพากันเข้าซื้อหุ้น หลังจากที่ผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดออกมาสอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด
เฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 0.00-0.25% และประกาศว่าจะเพิ่มการปรับลดวงเงินในโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เป็นเดือนละ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนม.ค.2565 โดยการปรับลดวงเงิน QE ของเฟดจะเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากเดิมเดือนละ 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะส่งผลให้เฟดยุติการทำ QE ในเดือนมี.ค.2565
นอกจากนี้ ในการคาดการณ์ทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) เจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2565 และปรับขึ้นดอกเบี้ยจำนวน 2 ครั้งในปี 2566 และปรับขึ้นอีก 2 ครั้งในปี 2567
ทั้งนี้ การประกาศคงอัตราดอกเบี้ยและการปรับลดวงเงิน QE เมื่อวานนี้สอดคล้องกับที่ตลาดคาดการณ์ก่อนหน้านี้ หลังจากที่เฟดได้ส่งสัญญาณหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาว่าเฟดจะเร่งการถอนมาตรการผ่อนคลายทางการเงินที่เฟดได้เริ่มใช้ในเดือนมี.ค.2563 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในขณะนั้น หลังจากที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของปอนด์และยูโร หลังจากที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) สร้างความประหลาดใจต่อตลาดด้วยการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.25% ในการประชุมวันนี้เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมกับปรับลดวงเงินในการซื้อพันธบัตรในการประชุมวันนี้