ดอลลาร์แข็งค่าเทียบเยนเป็นวันที่ 5 ติดต่อกัน และพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 5 ปี จากการที่นักลงทุนคาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะไม่กระทบต่อเศรษฐกิจโลก และไม่ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนมี.ค.
ณ เวลา 00.39 น.ตามเวลาไทย ดอลลาร์แข็งค่า 0.75% สู่ระดับ 116.18 เยน หลังจากแตะระดับ 116.34 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 11 ม.ค.2560 ขณะที่ยูโรปรับตัวขึ้น 0.68% สู่ระดับ 131.12 เยน และอ่อนค่า 0.06% สู่ระดับ 1.129 ดอลลาร์ ส่วนดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน บวก 0.04% สู่ระดับ 96.25
นอกจากนี้ ดอลลาร์ยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปียังคงดีดตัวเหนือระดับ 1.6% ในวันนี้
FedWatch Tool ของ CME Group ซึ่งวิเคราะห์การซื้อขายสัญญาล่วงหน้าอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นของสหรัฐ บ่งชี้ว่า นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโน้มมากกว่า 60% ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นเดือนที่เฟดยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE)
นักลงทุนจับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในวันศุกร์ ซึ่งจะบ่งชี้ภาวะตลาดแรงงานของสหรัฐ ซึ่งหากออกมาแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ก็อาจจะส่งผลให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด
ส่วนปอนด์พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปีเทียบยูโร และสูงสุดรอบ 2 เดือนเทียบดอลลาร์ โดยได้รับแรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอังกฤษ และการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.พ.
ณ เวลา 00.23 น.ตามเวลาไทย ปอนด์แข็งค่า 0.56% สู่ระดับ 1.3550 ดอลลาร์ หลังจากแตะ 1.3556 ก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย.2564 และดีดตัวขึ้น 0.54% สู่ระดับ 0.8340 เทียบยูโร ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2563
นักลงทุนคาดว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.15% ทั้งในการประชุมนโยบายการเงินในเดือนก.พ.และมี.ค.
ทั้งนี้ BoE สร้างความประหลาดใจต่อตลาดการเงินในเดือนธ.ค. โดยมีมติ 8-1 เสียงในการประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 0.25% เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ
นอกจากนี้ BoE มีมติ 9-0 เสียง สนับสนุนการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในวงเงิน 8.75 แสนล้านปอนด์ เพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19