เงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (17 มี.ค.) หลังจากธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้
ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.66% แตะที่ 97.9740 เมื่อคืนนี้
เงินปอนด์แข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.3156 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3119 ดอลลาร์ ขณะที่ยูโรแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.1105 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1007 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.7377 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.7265 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 118.59 เยน จากระดับ 118.69 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9366 ฟรังก์ จากระดับ 0.9424 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2644 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2722 ดอลลาร์แคนาดา
ธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% สู่ระดับ 0.75% ในการประชุมเมื่อวานนี้ และถือเป็นการปรับอัตราดอกเบี้ยกลับสู่ระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2563
BoE ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม 3 ครั้งติดต่อกัน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ หลังจากที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน โดยเงินเฟ้อในอังกฤษพุ่งแตะ 5.5% ในเดือนม.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 30 ปี ส่วนเงินเฟ้อในอังกฤษเดือนก.พ.พุ่งแตะ 7.1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 30 ปีเช่นกัน หรือนับตั้งแต่เดือนมี.ค.2535 และสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อ 2% ของ BoE
ทางด้านธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ และคงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับ ECB ที่ระดับ -0.50% รวมทั้งคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ระดับ 0.25%
นอกจากนี้ ECB ส่งสัญญาณยุติการซื้อพันธบัตรในไตรมาส 3 ซึ่งเร็วกว่าที่ตลาดคาดการณ์ก่อนหน้านี้ โดยจะปูทางสำหรับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้เพื่อสกัดเงินเฟ้อ หลังจากพุ่งขึ้น 5.8% ในเดือนก.พ. สูงกว่าเป้าหมายของ ECB ที่ระดับ 2%