ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (5 เม.ย.) หลังจากนางลาเอล เบรนาร์ด หนึ่งในคณะผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้สนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและเร่งปรับลดขนาดของงบดุลเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานการประชุมประจำเดือนมี.ค.ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งจะมีการเปิดเผยในวันพุธตามเวลาสหรัฐ
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.48% แตะที่ 99.4710 เมื่อคืนนี้
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 123.60 เยน จากระดับ 122.82 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9292 ฟรังก์ จากระดับ 0.9262 ฟรังก์ แต่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2472 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2485 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0909 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0975 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.3081 ดอลลาร์ จากระดับ 1.3116 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 0.7595 ดอลลาร์ จากระดับ 0.7550 ดอลลาร์
นางเบรนาร์ดได้แสดงความเห็นเมื่อคืนนี้ตามเวลาไทย โดยกล่าวว่า เฟดควรปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเป็นระบบ และเร่งปรับลดขนาดงบดุลจากระดับสูงเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเริ่มตั้งแต่เดือนหน้า พร้อมกับกล่าวว่า ขณะนี้เงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สูงเกินไป และการชะลอเงินเฟ้อถือเป็นภารกิจที่มีความสำคัญอย่างมาก
นอกจากนี้ นางเบรนาร์ดยังกล่าวด้วยว่า การที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครนได้ทำให้เงินเฟ้อมีความเสี่ยงที่จะอยู่ในช่วงขาขึ้น และการที่จีนใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็จะทำให้เกิดภาวะคอขวดของห่วงโซ่อุปทาน และเพิ่มแรงกดดันต่อราคาสินค้าผู้บริโภค
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ สถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคบริการของสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 58.3 ในเดือนมี.ค. โดยได้แรงหนุนจากการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมทั้งการพุ่งขึ้นของการจ้างงานและคำสั่งซื้อใหม่
ทางด้านกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขขาดดุลการค้าสหรัฐลดลง 0.1% สู่ระดับ 8.92 หมื่นล้านดอลลาร์ในเดือนก.พ. โดยการนำเข้าพุ่งขึ้น 1.3% สู่ระดับ 3.178 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่การส่งออกเพิ่มขึ้น 1.8% สู่ระดับ 2.286 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกัน