บริษัทริพเพิล (Ripple) และบริษัทเอฟทีเอ็กซ์ (FTX) ซึ่งเป็นสองบริษัทคริปโทเคอร์เรนซีรายใหญ่ระดับโลกเปิดเผยว่า ทางบริษัทกำลังมองหาลู่ทางที่จะซื้อกิจการของบริษัทอื่น ๆ เนื่องจากเชื่อว่าการเติบโตของอุตสาหกรรมคริปโทเคอร์เรนซีจะถูกขับเคลื่อนด้วยการรุกซื้อกิจการ
ทั้งนี้ มุมมองดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทคริปโทฯ เหล่านี้มีความเชื่อมั่นว่า ธุรกิจของตนมีขนาดใหญ่และมีฐานเงินทุนมากพอที่จะจัดสรรเงินสดเพื่อเข้าซื้อกิจการบริษัทอื่น ๆ ได้
นายเบรทท์ แฮร์ริสัน ประธานบริษัทเอฟทีเอ็กซ์ ยูเอส ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทฯ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า เอฟทีเอ็กซ์อยู่ในสถานะที่ดีเยี่ยมในแง่ของเงินทุนและเงินสด และกำลังมองหาลู่ทางในการควบรวมกิจการและเข้าซื้อกิจการบริษัทต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทที่จะช่วยเพิ่มฐานผู้ใช้งานหรือช่วยให้การขอใบอนุญาตเป็นไปอย่างคล่องตัวมากขึ้น
ในปี 2563 เอฟทีเอ็กซ์ได้เข้าซื้อบริษัทบล็อกโฟลิโอ (Blockfolio) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทฯ ซึ่งช่วยให้เอฟทีเอ็กซ์มีจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น และในปี 2564 เอฟทีเอ็กซ์เข้าซื้อกิจการบริษัทเลดเจอร์เอ็กซ์ (LedgerX) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับใบอนุญาตหลายใบในสหรัฐ
"เราจะรุกซื้อกิจการทั่วโลก เช่นในญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และดูไบ ซึ่งเรามีหุ้นส่วนธุรกิจกับบริษัทท้องถิ่นในประเทศเหล่านี้ และก็มีหลายแห่งที่เราเข้าไปซื้อกิจการเพราะต้องการได้ใบอนุญาต" นายแฮร์ริสันกล่าว
ทางด้านนายแบรด การ์ลิงเฮาส์ ซีอีโอบริษัทริพเพิล ซึ่งเป็นผู้ให้บริการชำระเงินข้ามพรมแดนกล่าวว่า ริพเพิลมีงบดุลบัญชีที่แข็งแกร่งมาก และมีแนวโน้มที่จะเข้าซื้อกิจการและควบรวมกิจการ (M&A) กับบริษัทอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมคริปโทฯ
"เรามั่นใจว่าธุรกรรม M&A ในอุตสาหกรรมบล็อกเชนและคริปโทฯ จะเฟื่องฟูอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ขณะนี้บริษัทของเราอยู่ในสถานะที่มีการขยายตัวและเรากำลังคิดที่จะซื้อกิจการ มากกว่าจะขายกิจการ" นายการ์ลิงเฮาส์กล่าวกับซีเอ็นบีซี
ทั้งนี้ ข้อมูลจากไพรซ์วอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส (PwC) ระบุว่า ธุรกรรม M&A ในอุตสาหกรรมคริปโทฯ เฟื่องฟูอย่างมากในปี 2564 โดยมูลค่าการทำธุรกรรมทั่วโลกอยู่ที่ระดับสูงกว่า 5.5 หมื่นล้านดอลลาร์ เทียบกับในปี 2563 ซึ่งอยู่ที่ 1.1 พันล้านดอลลาร์