สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (1 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ซึ่งเป็นสกุลเงินปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ขณะที่เงินปอนด์ของอังกฤษอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ หลังการเปิดเผยตัวเลขภาคการผลิตของสหราชอาณาจักรที่อ่อนแอ
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.43% แตะที่ระดับ 105.1400
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 135.25 เยน จากระดับ 135.55 เยน แต่แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9599 ฟรังก์ จากระดับ 0.9535 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดาที่ระดับ 1.2888 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2871 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.0428 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0483 ดอลลาร์, เงินปอนด์อ่อนค่าแตะที่ระดับ 1.2096 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2182 ดอลลาร์ และดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.6819 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6907 ดอลลาร์สหรัฐ
ปอนด์อ่อนค่าลง หลังเอสแอนด์พี โกลบอล/ซีไอพีเอสเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตของสหราชอาณาจักร ปรับตัวลงสู่ระดับ 52.8 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี จากระดับ 54.6 ในเดือนพ.ค.
ดัชนี PMI ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อใหม่ ซึ่งหดตัวลงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนม.ค. 2564 ขณะที่ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจร่วงลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนพ.ค. 2563 แม้ว่าการจ้างงานปรับตัวขึ้น
อย่างไรก็ดี ดัชนี PMI ยังคงอยู่เหนือระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตในสหราชอาณาจักรยังคงมีการขยายตัว โดยขยายตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 25
ส่วนของสหรัฐนั้น เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 52.7 ในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2563 และต่ำกว่าระดับ 57.0 ในเดือนพ.ค. แต่สูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 52.4