สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพุธ (13 ก.ค.) หลังจากนักลงทุนซึมซับตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐที่สูงกว่าคาดในเดือนมิ.ย. ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขานรับรายงานที่ว่า เศรษฐกิจของอังกฤษฟื้นตัวขึ้นในเดือนพ.ค.
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.09% แตะที่ระดับ 107.9710
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0063 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0047 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.1903 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1898 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.6767 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6766 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9793 ฟรังก์ จากระดับ 0.9817 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2970 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3008 ดอลลาร์แคนาดา แต่ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 137.33 เยน จากระดับ 136.76 เยน
เงินปอนด์แข็งค่าขึ้น หลังจากสำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษรายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 0.5% ในเดือนพ.ค. ซึ่งสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากที่หดตัวลง 0.2% ในเดือนเม.ย.
นักลงทุนซึมซับข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 9.1% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี นอกจากนี้ ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าระดับ 8.6% ในเดือนพ.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.8%
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 5.9% ในเดือนมิ.ย. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งแม้ว่าชะลอตัวลงจากเดือนพ.ค.ที่พุ่งขึ้น 6.0% แต่ยังสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.8%