ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (19 ก.ค.) โดยได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.64% แตะที่ระดับ 107.3360
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0234 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0154 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.1998 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1953 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียแข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 0.6896 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6814 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 138.21 เยน จากระดับ 138.04 เยน แต่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9690 ฟรังก์ จากระดับ 0.9770 ฟรังก์ และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2882 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2964 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรแข็งค่าขานรับรายงานที่ว่า เจ้าหน้าที่ ECB กำลังพิจารณาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมนโยบายการเงินในวันพรุ่งนี้ (21 ก.ค.) ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% ที่มีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนที่แล้ว แต่ได้ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค. ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี เพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของเงินเฟ้อ
นักลงทุนจับตาสถานการณ์การเมืองในอังกฤษเพื่อประเมินทิศทางของค่าเงินปอนด์ โดยการแข่งขันชิงตำแหน่งว่าที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษได้เข้าสู่โค้งสุดท้ายในขณะนี้ โดยในวันนี้ (20 ก.ค.) จะมีการประกาศรายชื่อผู้สมัคร 2 คนสุดท้ายที่จะเข้าสู่การแข่งขันชิงตำแหน่งผู้นำพรรคอนุรักษ์นิยม ซึ่งผู้ชนะจะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษโดยอัตโนมัติ เนื่องจากพรรคอนุรักษ์นิยมครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรอังกฤษ
ทั้งนี้ นายริชิ ซูแนค อดีตรัฐมนตรีคลังอังกฤษ ถือเป็นตัวเก็งที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคอนุรักษ์นิยมคนใหม่ ซึ่งหากประสบชัยชนะก็จะทำให้เขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีอังกฤษคนแรกที่มีเชื้อสายอินเดีย
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 2% ในเดือนมิ.ย. สู่ระดับ 1.559 ล้านยูนิต ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2564 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.580 ล้านยูนิต จากระดับ 1.591 ล้านยูนิตในเดือนพ.ค. โดยตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง และราคาวัสดุก่อสร้าง รวมทั้งการขาดแคลนแรงงาน