ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันอังคาร (26 ก.ค.) โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมสัปดาห์นี้
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.66% แตะที่ระดับ 107.1880
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.0126 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0223 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.2029 ดอลลาร์ จากระดับ 1.2048 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.6933 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6954 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 136.68 เยน จากระดับ 136.70 เยน และอ่อนค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9629 ฟรังก์ จากระดับ 0.9646 ฟรังก์ แต่ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.2896 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.2846 ดอลลาร์แคนาดา
นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันพุธที่ 27 ก.ค.ตามเวลาสหรัฐ หรือในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีที่ 28 ก.ค.ตามเวลาไทย โดยกระแสคาดการณ์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ในการประชุมครั้งนี้
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูการเปิดเผยตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 2 ของสหรัฐในวันพฤหัสบดีนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวดาวโจนส์คาดการณ์ว่าตัวเลข GDP สหรัฐมีแนวโน้มขยายตัว 1% ในไตรมาส 2
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ผลสำรวจของผลสำรวจของ Conference Board ระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐร่วงลง 2.7 จุด สู่ระดับ 95.7 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน เนื่องจากผู้บริโภคมีความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อและเศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปีนี้
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ลดลง 8.1% สู่ระดับ 590,000 ยูนิตในเดือนมิ.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย.2563 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 660,000 ยูนิต จากระดับ 642,000 ยูนิตในเดือนพ.ค.
นอกจากนี้ ผลสำรวจของเอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ บ่งชี้ว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐเพิ่มขึ้น 19.7% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบรายปี แต่ต่ำกว่าระดับ 20.6% ในเดือนเม.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์ระบุว่า ตลาดที่อยู่อาศัยเริ่มชะลอตัวลงจากการที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองพุ่งขึ้น ส่งผลให้ยอดขายบ้านและราคาบ้านปรับตัวลง ขณะที่สต็อกบ้านเริ่มเพิ่มมากขึ้น