เงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันพฤหัสบดี (22 ก.ย.) หลังธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.50% ซึ่งสร้างความผิดหวังต่อนักลงทุนบางส่วนที่คาดว่า BoE จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% ขณะที่ดอลลาร์ยังคงได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปจนถึงปี 2566
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.64% แตะที่ระดับ 111.3520
เงินปอนด์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 1.1251 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1354 ดอลลาร์ ขณะที่ยูโรอ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 0.9833 ดอลลาร์ จากระดับ 0.9911 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.6640 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6702 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 142.41 เยน จากระดับ 143.57 เยน แต่ดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9787 ฟรังก์ จากระดับ 0.9627 ฟรังก์ และแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3492 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3369 ดอลลาร์แคนาดา
ทั้งนี้ BoE มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 2.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2551 และเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นครั้งที่ 7 นับตั้งแต่เดือนธ.ค.2564
อย่างไรก็ดี คณะกรรมการนโยบายการเงิน (MPC) มีความเห็นไม่เป็นเอกฉันท์ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเมื่อวานนี้ โดยกรรมการ 5 รายลงมติให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ขณะที่ 3 รายลงมติให้ปรับขึ้น 0.75% และ 1 รายให้ปรับขึ้น 0.25%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการรายงานเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 5,000 ราย สู่ระดับ 213,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 218,000 ราย
ทางด้าน Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ Leading Economic Index (LEI) ของสหรัฐปรับตัวลง 0.3% ในเดือนส.ค. หลังจากร่วงลง 0.5% ในเดือนก.ค. โดยปรับตัวลงเป็นเดือนที่ 6 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณเศรษฐกิจถดถอย โดยได้รับผลกระทบจากการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)