ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันจันทร์ (26 ก.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เดินหน้าปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่เงินปอนด์ร่วงลงเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับสถานะการคลังของรัฐบาลอังกฤษ
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน เพิ่มขึ้น 0.81% แตะที่ระดับ 114.1030
ยูโรอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ ที่ระดับ 0.9615 ดอลลาร์ จากระดับ 0.9674 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์อ่อนค่าลงแตะที่ระดับ 1.0688 ดอลลาร์ จากระดับ 1.0847 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.6459 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6517 ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยน ที่ระดับ 144.51 เยน จากระดับ 143.35 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิส ที่ระดับ 0.9943 ฟรังก์ จากระดับ 0.9828 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดา ที่ระดับ 1.3735 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3604 ดอลลาร์แคนาดา
เงินปอนด์ร่วงลงเนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานะการคลังของรัฐบาลอังกฤษ หลังจากรัฐบาลเปิดเผยมาตรการปรับลดภาษีครั้งใหญ่ รวมทั้งมาตรการเยียวยาภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาพลังงาน
ทั้งนี้ รัฐบาลประเมินว่ามาตรการปรับลดภาษีจะมีวงเงินราว 4.5 หมื่นล้านปอนด์ในปี 2569-70 ส่วนมาตรการเยียวยาผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาพลังงานมีวงเงินมากกว่า 1 แสนล้านปอนด์
อย่างไรก็ดี หลายฝ่ายแสดงความกังวลต่อสถานะทางการคลังของอังกฤษจากการก่อหนี้เพิ่มขึ้นของรัฐบาล หลังการเปิดเผยมาตรการดังกล่าว
ทางด้านธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ออกแถลงการณ์ระบุว่า BoE กำลังจับตาสถานการณ์ในตลาดการเงินอย่างใกล้ชิด แต่ส่งสัญญาณว่า BoE ไม่มีแผนที่จะจัดการประชุมฉุกเฉินแต่อย่างใด
"ทางธนาคารกำลังจับตาสถานการณ์ในตลาดการเงินอย่างใกล้ชิด ท่ามกลางการปรับตัวอย่างมีนัยสำคัญของสินทรัพย์ในตลาดการเงิน โดยบทบาทของนโยบายการเงินคือการสร้างความมั่นใจว่าอุปสงค์จะไม่นำหน้าอุปทานจนทำให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้นในระยะกลาง ซึ่ง BoE จะไม่ลังเลในการปรับอัตราดอกเบี้ยหากมีความจำเป็นเพื่อให้เงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมาย 2% อย่างยั่งยืนในระยะกลาง" นายแอนดรูว์ เบลีย์ ผู้ว่าการ BoE ระบุในแถลงการณ์