ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับยูโรในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กในวันศุกร์ (30 ก.ย.) หลังการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของยูโรโซนพุ่งขึ้นแตะตัวเลขหลักสิบเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ซึ่งจะเพิ่มแรงกดให้ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุก
ทั้งนี้ ดัชนีดอลลาร์ ซึ่งเป็นดัชนีวัดความเคลื่อนไหวของดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก 6 สกุลในตะกร้าเงิน ลดลง 0.12% แตะที่ระดับ 112.1160
ยูโรแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.9810 ดอลลาร์ จากระดับ 0.9793 ดอลลาร์ ขณะที่เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นแตะที่ระดับ 1.1173 ดอลลาร์ จากระดับ 1.1058 ดอลลาร์ ส่วนดอลลาร์ออสเตรเลียอ่อนค่าลงสู่ระดับ 0.6410 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.6478 ดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 144.77 เยน จากระดับ 144.40 เยน และแข็งค่าเมื่อเทียบกับฟรังก์สวิสที่ระดับ 0.9861 ฟรังก์ จากระดับ 0.9779 ฟรังก์ นอกจากนี้ ดอลลาร์สหรัฐยังแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดาที่ระดับ 1.3811 ดอลลาร์แคนาดา จากระดับ 1.3707 ดอลลาร์แคนาดา
ยูโรแข็งค่าขึ้น หลังจากสำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรป (ยูโรสแตท) เปิดเผยในวันศุกร์ (30 ก.ย.) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งแตะ 10% ในเดือนก.ย. เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จากระดับ 9.1% ในเดือนส.ค. ซึ่งสูงกว่าระดับคาดการณ์เฉลี่ยในผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กที่ระดับ 9.7% และสูงกว่าระดับคาดการณ์ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 และดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมราคาพลังงานและอาหาร พุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4.8% ในเดือนก.ย.
ส่วนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 4.9% ในเดือนส.ค. เมื่อเทียบรายปี และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 4.7% จากระดับ 4.7% ในเดือนก.ค. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐาน เพิ่มขึ้น 0.6% ในเดือนส.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.5% หลังจากทรงตัวในเดือนก.ค.